วันอาทิตย์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

กิ๊บแฟนซี แอคเซสเซอรี่เพิ่มความเปรี้ยวให้ผม

เขียนโดย aimmy ที่ 23:51 0 ความคิดเห็น

ใครที่กำลังมองหาแอคเซสเซอรี่เพิ่มความเปรี้ยวเฉี่ยวให้เรือนผม ‘อินเทรนด์’ สัปดาห์นี้ มี 'กิ๊บแฟนซี' มาอัพเดท ทีนเอจการันตีติดปุ๊บ! เด่นปั๊บ!



พูดถึงบรรยากาศของปาร์ตี้ นอกจากเสื้อผ้าที่จะเลือกใส่ให้เหมาะกับคอนเซปต์งานแล้ว หลายคนยังให้ความสำคัญกับแอคเซสเซอรีบางชิ้น ที่ช่วยเสริมลุคให้สวยเก๋ หนึ่งในนั้นคือ ‘กิ๊บแฟนซี’ ที่ สามารถหยิบมาแต่งแต้มเสน่ห์ให้เรือนผมได้ง่าย ๆ ยิ่งคอลเลคชั่นนี้เน้นความอลังการ จึงช่วยเปลี่ยนลุคเป็นปาร์ตี้เกิร์ลได้ไม่ยากเย็น

ถูกใจสาวที่เน้นความฮิปนิด ๆ ด้วย กิ๊บมีดีไซน์ในแบบธรรมชาติ ประยุกต์ลักษณะของสัตว์สวยหลากชนิด เพิ่มความมีชีวิตชีวาให้บุคลิกและเสื้อผ้าประดับกาย หรูหราแบบสาวหวานซ่อนเปรี้ยว

ส่วนคอลเลคชั่นประจำวัน กิ๊บลายดอกไม้หลากสี โบว์ผ้าสีสด กิ๊บแบบพิมพ์ลาย รวมทั้งเม็ดพลอยแฟนซี ที่มีดีไซน์แปลกเก๋จะเป็นที่นิยมสุด สาว ๆ จะรวบผมด้านหน้าปัดข้างแล้วติดด้วยกิ๊บในระดับเหนือหูดูสวยหวาน

นอกจาก จะหยิบใช้ได้ทุกโอกาสเพราะมีดีไซน์ที่หลากหลายแล้ว ยังได้อีกหนึ่งสไตล์การแต่งตัวง่าย ๆ แต่เปรี้ยวเฉี่ยว! ไปปาร์ตี้กันอีกด้วย.



คุณมีผิวหน้าประเภทไหน???

เขียนโดย aimmy ที่ 23:50 0 ความคิดเห็น

ถ้าคุณอยากให้ผิวพรรณดูเปล่งปลั่งสดใสแบบสาวสุขภาพดี สิ่งแรกที่คุณต้องรู้อย่าง แน่ชัดให้ได้ก็คือสภาพผิวของคุณอยู่ในประเภทไหน เพื่อที่จะได้รู้ทิศทางว่าจะต้องบำรุงดูแลอย่างไร ถ้าคุณมีผิวผสมแต่นึกว่าตัวเองเป็นคนผิวแห้ง แล้วเลือกใช้แต่ผลิตภัณฑ์สำหรับคนผิวแห้ง ก็อาจส่งผลร้ายมากกว่าผลดีได้ ฉะนั้น ถ้าคุณยังไม่แน่ใจว่าผิวของคุณอยู่ในประเภทไหน เราก็มีวิธีตรวจสอบผิวมาบอกคุณแล้ว



ขั้น แรกก็ล้างหน้าด้วยเจลล้างหน้าสำหรับผิวธรรมดาทั่วไป โดยล้างผิวหน้าด้วยน้ำเย็น ซับหน้าให้แห้ง แล้วปล่อยทิ้งไว้อย่างนั้นประมาณ 20 นาที จากนั้นก็ตรวจดูผิวหน้าในที่ที่มีแสงสว่างเพียงพอ

ถ้าผิวหน้ามีความมันทั่วทั้งใบหน้า ก็แสดงว่าคุณเป็นคนผิวมัน

ถ้าคุณเห็นความมันเฉพาะบริเวณที-โซน ก็แสดงว่าคุณมีผิวผสม

ถ้าคุณมองไม่เห็นความมันเลย ก็แสดงว่าคุณยังมีผิวปกติ

ถ้าผิวหน้าของคุณจะรู้สึกตึงๆ หรือลอกเป็นขุยขาวๆ ก็แสดงว่าคุณเป็นคนผิวแห้ง

วิธีเลือกแว่นกันแดด ให้ตรงตามรูปหน้า

เขียนโดย aimmy ที่ 23:48 0 ความคิดเห็น

เข้า สู่ฤดูร้อนแล้ว... แค่นึกถึงมันก็ทำให้ร่างกายแทบละลายไปด้วยความร้อนระอุ ด้วยรังสี UV ที่แผ่ซ่านทั่วถนนคอนกรีต แสงแดดที่แยงตา ทำให้ต้องคอยหรี่ตาอยู่เรื่อย หรือต้องคอยเอามือป้องตา จะได้ไม่เดินไปเหยียบตาปลาใครเข้า..??

เอาเป็นว่า ลองไปหาซื้อ “แว่นตากันแดด” มาใส่ดูดีกว่าเพื่อต่อสู้กับฤดูร้อนอันโหดร้ายซะหน่อย ซึ่ง men.mthai.com มีเรื่องราวมานำเสนอให้เพื่อนแมนๆ ของเราที่คิดเสียตังค์ซื้อ แว่นตากันแดด ได้รู้สึกว่า เม็ดเงินที่คุณจ่ายไปจะไม่ทำให้หน้าตาหล่อเหลาของคุณเอง.... เห่ยหนักลงไปกว่าเดิม เพราะโครโมโซม และกรรมพันธุ์ของเพื่อนๆ แต่ละคนมันไม่เหมือนกันนี่หว่า....ลองไปสำรวจตรวจตราใบหน้าหน่อยดีกว่า ว่า.... เรามีโครงหน้าแบบไหน??....ซึ่งวันนี้ เรามีรูปหน้าสากล 5 แบบมาช่วยชี้แนะ

หน้ารูปไข่ (Oval)
สวมใส่แว่นได้ทุกรูปแบบ ทั้งแบบโค้ง แบบเหลี่ยม กรอบขนาดใหญ่ กรอบขนาดเล็ก แต่ควรหลีกเลี่ยงแว่นที่มีตำแหน่งขาแว่นต่ำ และอย่าให้ยื่นออกจากใบหน้ามากเกินไป

หน้ารูปทรงกลม (Round)
รูป หน้าที่มีความยาวและความกว้างเท่าๆ กัน ควรหลีกเลี่ยงแว่นที่มีลักษณะกลมทั้งหลาย ควรเลือกแว่นที่มีตำแหน่งขาแว่นสูง หรืออยู่ตรงกลาง อาจจะเป็นปีกผีเสื้อ ทรงรี ทรงเหลี่ยม

หน้ารูปทรงสี่เหลี่ยมยาว (Oblong)
รูปหน้าที่มีความกว้างน้อยกว่าความยาว ต้องใช้แว่นทรงกลมหรือแว่นที่มีแนวนอน ตำแหน่งขาแว่นต่ำ เช่น ทรงกลม ทรงรี แว่นรูปโค้ง หลีกเลี่ยงแว่นที่มีมุมเหลี่ยม

หน้ารูปสามเหลี่ยมตั้ง (Base-Downtriangle)
รูป หน้าแบบนี้หน้าผากจะแคบ ช่วงโหนกแก้มและคางจะกว้าง ควรเลือกแว่นที่มีด้านบนกว้างและหนา ส่วนด้านล่างควรทำมุมเข้า เช่น ทรงสี่เหลี่ยมหรือแบบไม่มีกรอบก็ได้

หน้ารูปสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด (Diamond)
รูปหน้าแบบนี้หน้าผากและคางจะแคบ โหนกแก้มจะกว้างที่สุด แว่นที่เหมาะควรเป็นแว่นทรงกลม ทรงรี หรือประเภทไม่มีขอบด้านล่าง

เอ้า.......!! เป็นไง.. ได้ แว่นตากันแดด เท่ห์ที่เหมาะกับคุณรึยัง ??


สูตรพอกหน้าจาก 7 ประเทศ

เขียนโดย aimmy ที่ 23:41 0 ความคิดเห็น



หากคุณ เป็นผู้หนึ่งที่อยากมีใบหน้าสวยใส ดูอ่อนกว่าวัยอยู่เสมอ วันนี้เรามีสูตรการพอกหน้าแบบพิเศษ ที่สรรหามาจากทั่วโลกให้คุณได้บำรุงผิวหน้าของคุณ ให้คุณมีผิวที่ขาวใส แลดูอ่อนกว่าวัยคะ

แบบที่ 1 พอกหน้าด้วยน้ำผึ้ง (ประเทศสเปน)
วิธีการ : ล้างหน้าให้สะอาด เช็ดให้แห้งแล้วใช้ปลายนิ้วแตะน้ำผึ้งลูบไล้บนใบหน้าและลำคอเบาๆ สักครู่ แล้วนวดหน้าด้วยปลายนิ้วอย่างแผ่วเบาประมาณ 5 นาที จนน้ำผึ้งเหนียว นวดต่อไปไม่ได้แล้ว ก็ปล่อยทิ้ง ไว้ประมาณ 10-15 นาที ระหว่างนั้นให้นอนพัก ศีรษะอยู่ต่ำกว่าระดับปลายเท้า เพื่อให้เลือดไหลมาหล่อเลี้ยง ที่ใบหน้าและลำคอได้สะดวกยิ่งขึ้น เมื่อครบเวลาแล้วก็ค่อยๆ ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดน้ำผึ้งออก ให้สะอาด เป็นอันเสร็จพิธี

แบบที่ 2 พอกหน้าด้วยแอปเปิ้ล (ประเทศเบลเยี่ยม)
วิธีการ
: ปอกแอปเปิ้ล คว้านเอาไส้และเมล็ดออก บดให้ละเอียด ขณะที่บดให้ผสมน้ำผึ้งลงไปด้วย เมื่อบด จนเข้ากันดีแล้ว นำเอาส่วนผสมนี้มาพอกหน้าทิ้งไว้ 20 นาที แล้วใช้นมสดเย็นๆ ล้างออก

แบบที่ 3 พอกหน้าด้วยแตงโม (ประเทศตุรกี)
วิธีการ : ฝานแตงโมเป็นชิ้นบางๆ จากส่วนที่แดงที่สุด นำมาแปะให้ทั่วใบหน้า แล้วใช้ผ้าขาวบางคลุมหน้าไว้ ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น

แบบที่ 4 พอกหน้าด้วยไข่ขาว (ประเทศสวิตเซอร์แลนด์)
วิธีการ
: ต่อยไข่ไก่ 1 ฟอง แยกไข่แดงออกเทเฉพาะไข่ขาวลงในถ้วย ใช้ส้อมตีไข่ขาวจนเป็นฟองพอสมควร แล้วใช้แปรงขนนุ่ม จุ่มไข่ขาวทาให้ทั่วใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จนไข่ขาวเริ่มจับตัวแข็ง แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น

แบบที่ 5 พอกหน้าด้วยน้ำมะนาวและน้ำผึ้ง (ประเทศฝรั่งเศส)
วิธีการ : ผสมน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ กับน้ำมะนาว 1 ช้อนชา คนให้เข้ากัน แล้วนำมาทาให้ทั่วทั้งใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้อย่างน้อย 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น

แบบที่ 6 พอกหน้าด้วยมะเขือเทศ (ประเทศญี่ปุ่น)
วิธีการ
: ฝานมะเขือเทศ 1 ชิ้นหนาๆ ถูให้ทั่วใบหน้าและลำคอเบาๆ ตรงบริเวณที่มีสิวเสี้ยน มะเขือเทศมี วิตามินซีและกรด AHA จะช่วยลอกผิวหน้าที่ตายแล้วให้หลุดออกได้ หลังจากนั้นจึงค่อยใช้สำลีชุบน้ำเย็น เช็ดมะเขือเทศออกให้สะอาด

แบบที่ 7 พอกหน้าด้วยนมเปรี้ยว (ประเทศรัสเซีย)
วิธีการ
: สำหรับผู้ที่มีผิวหน้ามัน ล้างหน้าให้สะอาดก่อนจะเอานมเปรี้ยวที่แช่เย็นจัดพอกหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีหรือนานกว่านั้น แล้วใช้ผ้าขนหนูนุ่มๆ เช็ดออก ตำรานี้จะใช้ได้ผลดีมากในหน้าร้อน เพราะจะช่วยให้ ใบหน้าที่ซีดเซียวกลับเปล่งปลั่งขึ้นได้ จะเห็นว่าสูตรหน้าที่กล่าวมาทั้งหมด ทำได้ง่ายๆ จากของใกล้ๆ ตัวอันมาจากธรรมชาติโดยเฉพาะ ลองเลือก ใช้สูตรใดสูตรหนึ่งดู แล้วแต่คุณถนัดหรือพอจะหาวัตถุดิบได้ รับรองว่าใบหน้าขาวสวยใสคงอยู่ไม่ไกลเกิน เอื้อมแน่นอน...


ทำความสะอาดเครื่องสำอางที่ถูกวิธี

เขียนโดย aimmy ที่ 23:39 0 ความคิดเห็น

เมื่อแต่งหน้าจนสวยปิ๊งมาทั้งวันแล้ว กลับถึงบ้านก็อย่าลืมใส่ใจกับการล้างเครื่องสำอางออกให้สะอาดหมดจดด้วยนะคะ หลายคนพลาดขั้นตอนนี้เพราะคิดว่าไม่สำคัญเท่าไร พอเกิดอาการหน้าพังเสียหายหลายแสนตามมาทีนี้จะมาโทษอะไรใครก็ไม่ได้แล้ว

null

สำหรับวิธีลบเครื่องสำอางนั้น พี่ฮั้วมีมาให้เลือกกัน 2 วิธีตามนี้ค่ะ
การลบเครื่องสำอางแบบปกติ
ให้เริ่มต้นจากคลีนซิ่งเป็นอันดับแรก จริงๆ แล้วคลีนซิ่งมีหลายแบบ ทั้งแบบน้ำ ผง ครีม โฟม และน้ำมัน แต่โดยส่วนตัวแล้วผลิตภัณฑ์ที่พี่ใช้ประจำคือ Sensibio H2O ของ Bioderma ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ล้างเครื่องสำอางสูตรน้ำที่ล้างเครื่องสำอางออกได้สะอาด หมดจด เป็นสูตรเฉพาะสำหรับผิวแพ้ง่ายและคนที่ต้องล้างเครื่องสำอางทุกวัน

ส่วนคนที่แต่งหน้าจัดและใช้เครื่องสำอางกันน้ำ พี่แนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดแบบน้ำมันหรือคลีนซิ่งออยล์จะเหมาะกว่า ค่ะ เพราะสามารถทำความสะอาดได้ล้ำลึกกว่า โดยเฉพาะเมคอัพแบบกันน้ำที่ล้างออกยากยิ่ง ต้องคลีนซิ่งออยล์เท่านั้นถึงจะเอาอยู่

คลีนซิ่งออยล์แบรนด์สุดยอดประจำใจต้องยกให้ Shu Uemura อาจจะราคาสูงหน่อย แต่ใช้ดีมาก ส่วนที่ราคาถูกลงมาหน่อยก็ต้องของ DHC, Clinique และ Fancl หาต้องการทางลัดที่ถูกสตางค์จริงๆ ลองใช้เบบี้ออยล์แทนก็ได้

ขอบอก
วิธีเช็คง่ายๆ ว่าเราล้างเครื่องสำอางสะอาดหมดจดแล้วหรือยัง ให้ใช้สำลีชุบคลีนซิ่งออยล์เช็ดจนกระทั่งไม่มีสีของเครื่องสำอางติดออกมา เท่านี้ก็มั่นใจได้แล้วค่ะ

การลบเครื่องสำอางแบบเร่งด่วน
ในยุคที่อะไรๆ ก็ว่องไวราวกับติดจรวดเช่นปัจจุบัน อุปกรณ์อำนวยความสะดวกเรื่องความสวยความงามของสาวๆ ก็ไม่น้อยหน้าใคร เห็นได้จากผลิตภัณฑ์ลบเครื่องสำอางแบบแผ่นที่มีออกมาขายกันกลาดเกลื่อน ซึ่งก็สามารถทำความสะอาดผิวหน้าได้ดีพอสมควร แต่แนะนำว่าควรใช้เฉพาะในกรณีเร่งด่วนเท่านั้น และเมื่อกลับถึงบ้านแล้วก็ควรล้างเครื่องสำอางเต็มสูตรอีกครั้ง เพื่อให้มั่นใจได้ว่าสะอาดล้ำลึกจริงๆ

การล้างเครื่องสำอางในจุดที่บอบบางเป็นพิเศษ
บริเวณรอบดวงตา
การล้างเครื่องสำอางบริเวณรอบดวงตา แนะนำว่าหากเราใช้ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับดวงตาของแบรนด์ไหน ก็ให้ใช้คลีนเซอร์ของแบรนด์นั้นๆ เช่น ใช้มาสคาราของ Maybelline ก็ควรใช้คลีนเซอร์ของ Maybelline เพราะเป็นผลิตภัณฑ์ที่สร้างมาเพื่อกันและกันโดยเฉพาะอยู่แล้ว

แต่สำหรับคนที่ใช้ คลีนซิ่งออยล์ ล้างหน้าอย่างพี่ ก็สามารถใช้คลีนซิ่งออยล์ล้างทำความสะอาดเครื่องสำอางบริเวณรอบดวงตาได้เลย ด้วยการใช้คลีนซิ่งออยล์ชุบสำลีประคบดวงตาไว้สักครู่ แล้วใช้นิ้วค่อยๆ แตะๆ กดๆ แล้วนวดคลึงเบาๆ ประมาณ 4-5 ครั้งามเข็มนาฬิกา จนน้ำมันจับกับเครื่องสำอาง จากนั้นให้ใช้น้ำสะอาดพรมแล้วนวดตามเพื่อให้เนื้อออยล์กลายเป็นน้ำนม ซึ่งจะช่วยทำให้เครื่องสำอางหลุดออกได้ดีขึ้น จากนั้นก็ล้างน้ำซ้ำอีกจนกว่าจะมั่นใจว่าสะอาดหมดจดจริงๆ

อีกทางเลือกหนึ่งก็คือ แผ่นทำความสะอาดรอบดวงตา ซึ่งถึงแม้พี่จะเคยเตือนไว้ว่าให้ใช้เฉพาะในกรณีเร่งด่วนเท่านั้น แต่สำหรับบางยี่ห้อเช่น Avian (ยี่ห้อเดียวกับน้ำแร่นั่นแหละค่ะ ใช้ดีมากๆ แต่เสียดายที่ไม่มีขายในบ้านเราค่ะ) และ Boots นั้น พี่พิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพดีมาก จึงสามารถใช้แทนคลีนเซอร์รอบดวงตาได้เลย เพราะชุ่มชื้นไปด้วยออยล์และทำความสะอาดได้อย่างล้ำลึกไม่ต่างจากการล้าง ด้วยคลีนซิ่งออยล์

อย่างไรก็ตาม สำหรับคนที่ต้องแต่งหน้าจัดเป็นประจำทุกวัน พี่แนะนำว่าให้ดัดขนตาและปัดมาสคาราแค่พอประมาณดีกว่า เพราะจากประสบการณ์ที่ได้ทำงานกับนางแบบมามาก พบว่าหลายคนเมื่อต้องแต่งหน้าจัด ทาตาเข้ม และปัดมาสคาราแทบทุกวัน มักจะมีปัญหาตามมา เช่น แม้จะล้างเครื่องสำอางอย่างเอาใจใส่เป็นพิเศษแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถล้างเครื่องสำอางออกได้อย่างหมดจด ทำให้ขนตาที่ปัดมาสคาราอย่างหนาหลุดร่วง และเกิดริ้วรอยรอบดวงตาจนหมดสวยในที่สุด


สุดยอดอาหาร 29 อย่าง คงความอ่อนเยาว์

เขียนโดย aimmy ที่ 23:38 0 ความคิดเห็น

null

คงไม่มีผู้หญิงคนไหนปรารถนาที่จะมีตีนกาอยู่บนใบหน้าเป็นแน่ แต่เพราะตัวเลขที่เพิ่มมากขึ้นทำให้เรื่องของริ้วรอยเป็นเรื่องที่ห้ามกัน ไม่ได้!!

อยากให้ริ้วรอยลดเลือนลงไป แถมมีกระดูกที่แข็งแรง และมีพลังมากกว่านี้บ้างมั้ยล่ะ ลองเติมสุดยอดอาหารเหล่านี้ลงในเมนูของคุณดูสิ...

สดใสดูอ่อนกว่าวัย Stay looking young เพียงแค่เลือกรับประทานอาหารที่ว่ามาทั้งหมดนี้ เพียงอย่างน้อย 1 อย่าง เป็นประจำทุกวัน ก็จะช่วยให้เส้นผมดำขลับ เงางาม ผิวพรรณผุดผ่องและดวงตาเป็นประกาย

1. บลูเบอร์รี่ : จากผลการวิจัยพบว่า แอนโทไซยานิน (anthocyanin) สารเม็ดสีในบลูเบอร์รี่ ช่วยในการมองเห็น ขอแนะนำให้คุณลอง ปั่นบลูเบอร์รี่รวมกับนมหรือโยเกิร์ตดู

2. พริกหยวก : ทั้งพริกแดง พริกเขียว และพริกเหลืองต่างมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ที่ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันร่างกาย น้ำฉ่ำๆ จากพริกหยวกยังจะช่วยให้สุขภาพเล็บแข็งแรง ลองนำพริกไปทำซัลซ่า โดยผสมเข้ากับมะเขือเทศ กระเทียม พริกแดง แตงกว่า น้ำมันมะกอก และน้ำมะนาวดูสิ นอกจากจะได้ประโยชน์
มหาศาลจากเหล่าสุดยอดอาหารแล้ว ยังได้อร่อยกับเมนูเด็ดจากฝีมือของคุณเองอีก

3. กะหล่ำปลี : เห็นเขียวๆ ม่วงๆ อย่างนี้รู้มั้ยว่ากะหล่ำปลีนั้นอุดมไปด้วยวิตามินเอ, ซีและเบตาแคโรทีนที่จะช่วยในเรื่องของผิวพรรณ เพียงหั่นกะหล่ำปลีบางๆ แล้วนำลงไปผัดกับขิงและกระเทียม เพียงเท่านี้ก็ได้อาหารมื้อค่ำสำหรับตัวคุณเองแล้ว

4. วอลนัท : ทองแดงในวอลนัทช่วยคงสภาพสีผมของคุณไม่ให้เปลี่ยนสีก่อนวัยอันควร ลองโรยวอลนัทลงบนสลัดหรือโยเกิร์ตก็ไม่เลวนะ

5. แอปริคอท : สารเบตาแคโรทีนในแอปริคอทช่วยชะลอการเสื่อมถอยของเลนส์ตา ช่วยในการมองเห็นได้ดี ใส่แอปริคอทลงไปในสตูว์ไก่ ผสมกับขิงและอบเชยให้ได้กลิ่นอายแบบโมร็อคโค

6. อะโวคาโด : การรับประทานอะโวคาโดช่วยทำให้ผิวเรียบเนียน และปกป้องผิวจากอันตรายที่เกิดจากแสงแดด เนื่องจากอะโวคาโดอุดมไปด้วยวิตามินอี บดอะโวคาโดโรยหน้าโอ๊ตเค้กเป็นของทานเล่นดู
ก็ได้

7. สตรอเบอร์รี่ : วิตามินซีและ สารบางอย่างในสตรอเบอร์รี่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของผนังเส้นเลือดผลไม้สีแดง สดทรงเสน่ห์แบบนี้ เพียงแช่เย็นไว้จิ้มกินกับเกลือตอนนั่งดูทีวีก็เพลินดีไม่น้อย

8. เต้าหู้ : หยุดยั้งผิวที่ซีดและแห้งโดยการรับประทานอาหารอย่าง เต้าหู้ เพราะในเต้าหู้มีสารที่จะช่วยคืนสภาพผิวและป้องกันรอยเหี่ยวย่น ลองผัดรวมกับผักกรอบๆ หรือทำเป็นต้มจืดเอาไว้ทานเป็นมื้อเย็นนอกจากจะช่วยคืนสภาพผิวแล้ว ยังช่วยควบคุมน้ำหนักได้เป็นอย่างดี

9. ข้าวโอ๊ต : เต็มไปด้วยเส้นใยที่ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือด ทั้งยังช่วยลดอาการตึงเครียด จึงทำให้รอยเหี่ยวย่นน้อยลง เพียง โรยข้าวโอ๊ตลงบนมูสลี่ หรือนมอุ่นๆ ใส่น้ำตาลลงไปเล็กน้อยแค่นี้ก็ทานได้
แล้ว กระชุ่มกระชวยเหมือนแรกสาว

Stay feeling young

10. กระเทียม : สมุนไพรกลิ่นแรงอย่างกระเทียมมีคุณสมบัติป้องกันแบคทีเรีย ล้างพิษ และป้องกันไวรัสจากโรคภัยไข้เจ็บ ตั้งแต่ไข้หวัดไปจนถึงมะเร็ง อาหารไทยส่วนใหญ่มีกระเทียมเป็นส่วนประกอบอยู่แล้ว

11. แครนเบอร์รี่ : ผลไม้มหัศจรรย์ช่วยต้านการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ จากงานวิจัยล่าสุดพบว่ายังช่วยป้องกันโรคเหงือก และแผลในช่องท้องได้ชะงัดอีกด้วย อาจจะทำเป็นแยมไว้รับประทานกับขนมปังหรือทำเป็นซอสแครนเบอร์รี่ไว้ทาไก่หรือ เนื้อย่างก็มีประโยชน์ไม่แพ้กัน

12. ลินสีด : ช่วยลดอาการเจ็บตามข้อต่อ เพราะอุดมไปด้วยโอเมก้า 3 ที่ร่างกายใช้ในการสร้าง
ฮอร์โมนที่มีคุณสมบัติป้องกันอาการอักเสบ ลองเติมลงในน้ำปั่นหรือโรยหน้าสลัดดูก็ได้นะ

13. กีวี : วิตามินซีและสารอาหารบางอย่างในกีวีช่วยในการไหลเวียนของออกซิเจน ลดปัญหาเกี่ยวกับระบบหายใจ เช่น โรคหืด หอบ หั่นกีวีเป็นลูกเต๋าเสียบไม้กับมะม่วงหรือกล้วย ทาด้วยน้ำผึ้ง แล้วนำไป
ย่าง อาจจะได้รสชาติแปลกใหม่ที่น่าลิ้มลอง

14. ลูกพลัม : อุดมไปด้วยสารอาหารที่ช่วยป้องกันการถูกทำลายของไขมันซึ่งเป็นส่วนประกอบ สำคัญในเซลล์สมอง นำลูกพลัมไปเคี่ยวกับน้ำส้ม และโรยลงไปบนมูสลี่ หรือจะกินเล่น เป็นขนมขบเคี้ยวก็ไม่มีใครว่า

15. กล้วย : เป็นแหล่งรวมของโพแทสเซียม นอกจากกล้วยจะช่วยในเรื่องของระบบการย่อยอาหารแล้วยังช่วยลดอาการท้องผูก แค่ผสมเข้ากับนม น้ำผึ้ง และอัลมอนด์ ก็จะได้อาหารเช้าที่แสนอร่อย

16. ส้ม : การรับประทานส้มทั้งผลแทนการดื่มน้ำส้มจะช่วยให้ได้รับสารอาหารอย่างเต็มที่ มิหนำซ้ำวิตามินซีในส้มยังช่วยป้องกันและเยียวยาโรคหวัด นอกจากนี้กากของส้มยังช่วยในเรื่องของการขับถ่าย
ด้วย

17. ข้าวกล้อง : ฮอตฮิต อินเทรนด์กันอยู่พักใหญ่ เพราะอุดมไปด้วยแร่แมงกานีสที่จะช่วยให้พลังงานกับร่างกายโดยการให้โปรตีน และคาร์โบไฮเดรต และยังช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกายอีกด้วย ใครที่ไม่ชอบสีจัดจ้านของข้าวกล้องก็สามารถหุงข้าวกล้องรวมกับข้าวสวยได้

18. มะเขือม่วง : เปลือกของมะเขือม่วงอุดมไปด้วยนาซูนิน (nasunin) ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยปกป้อง
สมองของคุณจากการถูกทำลาย เพื่อคงความฉลาดหลักแหลมของคุณไว้ ลองนำมะเขือม่วงไปทำแกง หรือรับประทานกับข้าวกล้องก็อร่อยไม่เบา

แข็งแรงได้ใจ Stay healthy!

จากการศึกษาพบว่า อะไรก็ตามที่คุณรับประทานเข้าไป มีโอกาสที่จะทำให้โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ดีขึ้นได้ เช่น โรคมะเร็ง หรือโรคหัวใจ เพื่อให้อัตราการเสี่ยงของคุณลดน้อยลง ลองอาหารพวกนี้ดูสิ

19. ลูกพรุน : โพแทสเซียมในลูกพรุนช่วยลดคอเรสเตอรอลในเลือดและลดระดับความดันเลือด ซึ่งทั้งสองอย่างนี้เป็นต้นเหตุของการเกิดโรคหัวใจ เสิร์ฟคู่กับโยเกิร์ตหรือกินเล่นเป็นของว่างก็ดี

20. คะน้า : ช่วยให้ตับของคุณผลิตเอ็นไซม์ในการต่อต้านมะเร็ง เมื่อคุณเคี้ยวคะน้า จากการวิจัยพบว่าสามารถหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านมได้ ฮืม...ม เลือกผัดคะน้าปลาเค็ม เป็นเมนูมื้อ
กลางวันดีกว่า (อ้อ อย่าลืมทุบกระเทียมลงไปด้วยนะ)

21. ผักโขม : คุณจะได้รับแคลเซียมจากผักโขม ในขณะเดียวกันก็มีแมกนีเซียมที่จะช่วยให้ร่างกายของคุณดูดซึมแคลเซียมได้ดี การรับประทานใบอ่อนของผักโขมในสลัด จะช่วยให้ป้องกันโรคกระดูกเปราะและหักง่ายเนื่องจากขาดแคลเซียม

22. ราสเบอร์รี่ : จากผลการวิจัยพบว่าสารแอนตี้ออกซิเดนท์ในราสเบอร์รี่สามารถยับยั้งการเกิดเนื้อ
ร้ายได้ ลองนำราสเบอร์รี่ไปราดด้วยช็อกโกแลตเหลวแล้วไปแช่เย็นดูสิ

23. ถั่วงอก : สารประกอบ ที่พบในถั่วงอก สามารถช่วยลดระดับไขมันในเส้นเลือด นอกจากนี้ถั่วงอก ยังประกอบด้วยสารอาหารในปริมาณสูง ซึ่งจะช่วยเรื่องโรคเล็กๆ น้อยๆ ของสตรีในวัยหมดประจำเดือนถั่วงอกผัดกับเต้าหู้ ทานกับข้าวสวยร้อนๆ ก็อร่อยไม่เบา

24. บล็อคโคลี่ : การรับประทานบล็อคโคลี่เป็นประจำ จะช่วยลดอัตราเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจได้ถึง20% และยังมีวิตามินซีที่ช่วยป้องกันการปวดกล้ามเนื้อ ปวดตามข้อ และโรคไขข้ออักเสบได้ด้วย ลวกใส่ในสลัด หรือผัดกับกุ้งสดก็ไม่เลว

25. บีทรูท : เนื้อของบีทรูทอุดมไปด้วยเบต้าไซยานิน ซึ่งเป็นสารต่อต้านมะเร็ง รับประทานโดยการนำไปตุ๋นหรือย่าง

26. องุ่นแดง : จะช่วยลดอัตราเสี่ยงของการเกิดเลือดจับตัวเป็นก้อน และดักจับไขมันในเลือดที่จะเป็นอันตรายต่อเส้นเลือดแดงของคุณ ใส่องุ่นแดงลงในสลัดหรือดื่มไวน์แดงสักแก้วระหว่างมื้อค่ำ

27. ปลาที่มีไขมัน : แซลมอน หรือเนื้อปลาชนิดอื่นๆ ที่มีไขมันปนอยู่บ้างนั้น สามารถช่วยปกป้องคุณจากโรคภัยไข้เจ็บมากมาย อีกทั้งโปรตีนในเนื้อปลายังช่วยในเรื่องของสมอง ว่ากันว่าให้เด็กๆ กินปลาแล้วจะฉลาด ปลานึ่ง ปลาย่างราดซอสอร่อยๆ ล้วนเป็นทางเลือกที่ดี

28. มะเขือเทศ : สารไลโคพีนี (lycopene) ในมะเขือเทศจะช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งต่อมลูก
หมาก มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด และมะเร็งลำไส้ใหญ่ ที่สำคัญช่วยให้ผิวสวยอย่าบอกใครเลยเชียวล่ะ
เลือกเอาเลยว่าคุณอยากจะใส่มะเขือเทศลงในอาหารอะไรบ้าง

29. หัวหอม : หัวหอมที่มีกลิ่นไม่หอมเหมือนชื่อนี้จะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ทั้งยังช่วยในการรักษาและป้องกันโรคเบาหวาน ซอยเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าเล็กๆ ใส่ในไข่เจียว หรือซอยใส่อาหารประเภทยำช่วยเพิ่มรสชาติได้ดีทีเดียว


เคล็ดลับผิวขาวอมชมพู

เขียนโดย aimmy ที่ 23:37 0 ความคิดเห็น

null

สาวๆ ยุคใหม่ที่กำลังมองหาวิธีดูแลผิวพรรณให้เรียบ เนียน สวยอยู่ตลอดเวลา วันนี้จะมาบอกเคล็ดลับเพื่อผิวขาวสุขภาพดีที่ทำได้ง่ายๆ ไม่ยุ่งยากกับเคล็ดลับ "โยเกิร์ตสครับสูตรน้ำผึ้ง"

ถ้าพูดถึงโยเกิร์ตแล้วใครๆ ก็รู้ว่าเป็นอาหารที่มีคุณค่า แถมยังเป็นอาหารผิวที่ดีได้อีกด้วย ส่วนน้ำผึ้งนอกจากเป็นยาอายุวัฒนะแล้ว ก็ยังมีคุณค่าในด้านความสวยความงามด้วย

สำหรับส่วนผสมของเคล็ดลับ "โยเกิร์ตสครับสูตรน้ำผึ้ง" เริ่มจาก - น้ำผึ้ง 3 ช้อนโต๊ะ
- จมูกข้าวสาลี 2 ช้อนโต๊ะ
- โยเกิร์ตเปล่า 1 ถ้วย

นำส่วนผสมทั้ง 3 มาคนให้เข้ากันแล้วนำมาทาให้ทั่วตัว จากนั้นใช้ปลายนิ้วขัดผิวเบาๆ เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และขจัดเซลล์ผิวเก่าให้หลุดออกมาหลังล้างออก และยังเพิ่มความชุ่มชื้นและคงความขาวเนียนให้กับผิวได้อีกด้วย อย่าลืมบำรุงด้วยผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของโยเกิร์ตเป็นประจำ ให้ทั่วทุกส่วนของร่างกายนะคะ เพื่อคุณจะได้เป็นเจ้าของผิวที่ขาว อมชมพูอย่างมีสุขภาพดีตลอดไปค่ะ"


18 สูตรลับเิ่พิ่มความสวย

เขียนโดย aimmy ที่ 23:34 0 ความคิดเห็น

null

1. กลิ่นหอม เจลอาบน้ำหรือแชมพูที่มีสารสกัดจากส้ม มะนาวหวาน มิ้นต์ หรือโรสแมรี่จะทำให้คุณรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า เพราะจมูกจะทำหน้าที่ส่งกลิ่นหอมสดชื่นไปสู่สมองเพื่อปลุกคุณให้ตื่นจากความ ซึมเซา หรือลองแชมพูหรือเจลอาบน้ำกลิ่นผลไม้หวานของ St´ Eve ก็ไม่เลวนะคะ

2. ดวงตาสดใส การกดจุดจุช่วยให้ดวงตาสดใส ให้คุณใช้นิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือกดที่มุมตาด้านใน 3 ครั้ง ครั้งละ 30 วินาทิ จากนั้นรองพื้นขนตาและแต่งขนตาด้วยมาสคาร่าให้สวยงอนงาม

3. แสงเงาแห่งความงาม เมื่อคุณแต่งหน้า ควรส่องกระจกที่หน้าต่างเพื่อให้ได้แสงเงาที่ถูกต้อง ใบหน้าที่เติมแต่งด้วยเครื่องสำอางจะได้ไม่ดูหลอกตา จากนั้นใช้พู่กันหนาปัดบลัชออนสีทองที่หน้าผาก จมูก และแก้ม จะทำให้ได้ใบหน้ารูปสวย สดชื่นแจ่มใส

4. ทดลองเครื่องสำอางแกะกล่องในบ้าน เมื่อคุณต้องไปงานเลี้ยง ไม่ควรใช้เครื่องสำอางที่เพิ่งซื้อมาเพราะคุณอาจแพ้เครื่องสำอาง ควรใช้เครื่องสำอางแกะกล่องในวันที่ไม่ได้ไปไหนจะดีกว่า

5. พกเครื่องสำอางไปพักร้อน แสงแดดแรงกล้าจะทำให้ผิวหน้าของคุณสูญเสียความชุ่มชื้นได้ง่าย หากคุณไปพักร้อนในระยะเวลาสั้นๆ อย่าลืมนำเครื่องสำอางบำรุงผิวไปด้วยและคุณควรนำหลอดใส่เครื่องสำอางไปใช้จะ ดีกว่า เพราะพกง่าย สะดวก และเป็นการยืดอายุเครื่องสำอางในกระปุกของคุณอีกด้วยนะ

6. การนวดหน้าด้วยครีม 46% ของผู้หญิงมีริ้วรอยอันเนื่องมาจากการลดน้ำหนักหรือการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมน ดังนั้นคุณจึงควรนวดหน้าด้วยครีมทุกวัน โดยนวดเป็นวงกลมจากข้างล่างขึ้นข้างบน

7. กระดาษซับหน้าใส ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็สวยได้ทั้งวัน ฉะนั้นอย่าลืมพกกระดาษซับมันติดกระเป๋าไว้เสมอ

8. ปกปิดจุดด่างดำ สำหรับสาวๆที่ธรรมชาติไม่เป็นใจให้คุณสวยสมบูรณ์ โดยเฉพาะใบหน้าที่มีรอยกระ จุดด่างดำ ปัจจุบันมีครีมที่ทาปกปิดรอยเหล่านี้ได้ ให้คุณทาครีมที่ปีกจมูก สันจมูกและโหนกแก้ม จากนั้นใช้นิ้วมือเกลี่ยเบาๆให้ทั่ว หากอยากให้ดูสวยเด่นขึ้นก็ใช้แป้งโปร่งใสทาทับอีกที

9. เคล็ดลับอกสวย การใช้ผลิตผลจากธรรมชาติดูแลผิวพรรณทำให้ไม่ต้องจ่ายเงินไปมากและผักบางชนิด ให้ความชุ่มชื้นมากด้วย เช่น แตงกวา ให้ฝานเปลือกแตงกวา (อย่าหั่นเป็นชิ้น) แล้วนำมาแปะที่บริเวณทรวงอกเพราะเนื้อแตงกวาหรือแอปเปิ้ลที่อยู่ใต้เปลือก ให้ความชุ่มชื้นกับผิวมาก

10. ริมฝีปากมีเลือดฝาด ใช้แปรงสีฟันที่เปียกชื้นนวดริมฝีปากให้หลุดออกเบาๆเป็นวงกลม เป็นการขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วและมีผลทำให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น ทำให้การทาลิปสติกติดริมฝีปากง่ายขึ้นอีกด้วยนะ

11. ข้อศอกอ่อนนุ่มด้วยมะนาว สำหรับผู้ที่มีวัยต่ำกว่า 30 ปี ผิวจะผลัดเวลล์ใหม่ๆทุกๆ 28 วัน หากอายุยิ่งมากขึ้นเท่าไรผิวก็จะยิ่งทำการผลัดเซลล์ใหม่ช้าลงเรื่อยๆ ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องช่วยผิวผลัดเซลล์ เช่นผิวที่ตายด้านบริเวณข้อศอกให้ใช้น้ำมะนาว เอ็นไซม์และกรดจากมะนาวจะทำให้ผิวที่แข็งกระด้างอ่อนนุ่มลง ให้คุณหั่นมะนาวสองซีกแล้วนำแต่ละซีกประคบข้อศอกทั้งสองข้างไว้ประมาณ 2-3 นาที แล้วล้างออก หลังจากนั้นจึงทาครีมบำรุง

12. ขจัดขนบนใบหน้า สำหรับผู้หญิงที่มีขนบริเวณเหนือริมฝีปากและข้างแก้ม สามารถขจัดขนได้ด้วยแผ่นขจัดขนโดยไม่เจ็บ จากนั้นต้องบำรุงด้วยโลชั่นบำรุงผิว

13. บำรุงผิวด้วยแอปเปิ้ล ล้างแอปเปิ้ลให้สะอาด 2 ลูก แล้วนำมาขูดทั้งเปลือกให้ละเอียด ใส่น้ำส้มสายชูแอปเปิ้ลลงไปผสม 3 ช้อนโต๊ะ จากนั้นทาผิวทิ้งไว้ 15 นาที

14. ผ่อนคลายผิว ริ้วรอยย่นบนใบหน้าเริ่มมาเยือนตามวัยที่มากขึ้น โดยเริ่มที่บริเวณรอบดวงตาและริมฝีปาก ดังนั้นจึงมีผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมายเพื่อใช้ป้องกันและลดริ้วรอยย่น ก่อนซื้อเครื่องสำอางมาใช้ควรดูคุณสมบัติด้วยนะจ๊ะ

15. เล็บงาม ก่อนที่จะทาเล็บควรจัดแต่งเล็บให้สวยเป็นระเบียบเสียก่อน จากนั้นทารองพื้นที่เล็บแล้วจึงทางเล็บด้วยสีที่คุณชอบ

16. การเพิ่มน้ำหนักให้ผมดูหนาได้รูปทรง หวีที่ใช้ยีผมให้ดูหนาเมื่อสมัย 60 ปีก่อน ก็ยังสามารถใช้ได้ดีในปัจจุบัน ให้คุณเหน็บผมไว้บนศรีษะด้วยกิ๊บ เริ่มยีผมจากส่วนล่างขึ้นบน เสร็จแล้วใช้หวีธรรมดาหวีผมเบาๆ ทั้งศรีษะ สุดท้ายฉีดสเปรย์ให้ทรงผมอยู่ตัว คนผมหนาอยู่แล้วไม่ควรจะทำนะจ๊ะ

17. ฟื้นฟูเส้นผม แสงแดด ลม และสารเคมี ทำให้เส้นผมเสียสมดุลและทำให้ผมเสีย เช่น ผมแตกปลายขาดประกายเงางาม แข็งกระด้าง ดังนั้นคุณจึงควรดูแลบำรุงผมด้วยแชมพูที่มีส่วนผสมของน้ำมันผลไม้ และควรสระผมเพียงครั้งเดียว มิเช่นนั้นจะทำให้ผนังเซลล์ของเส้นผมเสียสมดุล จากนั้นเช็ดผมเบาๆด้วยผ้าขนหนูเนื้อนุ่มๆ

18. ผิวเปล่งปลั่งมีเลือดฝาด หลังการเล่นกีฬา ให้คุณฉีดสเปรย์น้ำแร่ที่ใบหน้าคุณจะรู้สึกสดชื่นแจ่มใส ผิวหน้าแดงปลั่งดั่งลูกมะเขือเทศ และจะดียิ่งขึ้นหากแช่สเปรย์น้ำแร่ไว้ในตู้เย็น บริเวณรอบดวงตาให้ใช้แผ่นปิดหนังตาที่ให้ความเย็นสดชื่น


วิธีเร่งผมยาวเร็วขึ้นทันใจ

เขียนโดย aimmy ที่ 23:30 0 ความคิดเห็น

null

ใครที่ผมสั้นแล้วต้องการให้ผมยาวเร็วขึ้น วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีวิธีมาบอก...

ออกกำลังกายให้เส้นผม
เร่งให้ผมยาวด้วยการก้มศีรษะให้เลือดไปเลี้ยงที่ศีรษะค้างไว้ 30 วินาที ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมาทำเช่นนี้ทุกวัน เลือดจะไหลเวียนไปเลี้ยงเส้นผมที่ศีรษะ ทำให้เส้นผมแข็งแรงและยาวเร็วขึ้นด้วย

เพิ่มโปรตีน
โปรตีนสามารถปกป้องและซ่อมแซมเส้นผม ช่วยลดการหลุดร่วงและการแตกหักของเส้นผม ทำให้เส้นผมแข็งแรง และยาวเร็วขึ้นได้

กินปลา
ปลา พืชผักใบเขียว และบลูเบอรี่เป็นแหล่งอาหารที่ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต ฉะนั้นบริเวณใดก็ตามในร่างกายที่มีเลือดไหลเวียนไปหล่อเลี้ยงได้ดีจะทำให้ ร่างกายบริเวณนั้นแข็งแรง มีชีวิตชีวารวมไปถึงเส้นผมบนศีรษะด้วย

เคยนวดศีรษะกันบ้างไหม
การนวดศีรษะจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตบนศีรษะ และยังจะช่วยทำให้เส้นผมเติบโตเร็วขึ้น การนวดศีรษะอาจทำได้ด้วยตัวเองที่บ้านในขณะสระผม โดยการใช้นิ้วมือกดและนวดไปตามจุดบนศีรษะอย่างเบามือ

แปรงให้ถูก
หลีกเลี่ยงการทำให้เส้นผมขาดและหลุดร่วงด้วยการไม่หวีผมขณะยังเปียกอยู่ เลือกใช้หวีซีกใหญ่และห่างในการหวีผมช่วงผมเปียกแทน

ตัดผมบ้าง
การเล็มผมบ่อย ๆ จะช่วยให้ผมยาวเร็วขึ้น และยังถือว่าเป็นการกำจัดผมแตกปลายไปในตัวด้วย

ต่อผมก็ได้
ลองมองหาร้านทำผมที่มีบริการต่อผมดู ให้เลือกใช้บริการร้านต่อผมที่ค่อนข้างมีประสบการณ์จะดีกว่า


เมนูต้องห้าม ยามท้องว่าง

เขียนโดย aimmy ที่ 23:24 0 ความคิดเห็น


ก่อนที่จะรับประทาน ควรเลือกชนิดของอาหารเสียก่อนนะคะ เพราะบางทีอาหารที่เราทานลงไปทั้งๆ ที่มีประโยชน์แต่ไม่ถูกเวลา ก็อาจส่งผลเสียบางอย่างที่เราคาดไม่ถึงก็ได้ค่ะ ไปดูกันว่าอาหารที่ไม่ควรรับประทานขณะท้องว่างมีชนิดใดบ้าง

นมและนมถั่วเหลือง
แม้ว่านมถั่วเหลืองจะอุดมไปด้วยโปรตีน แต่จะเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด เมื่อกระเพาะอาหารมีสารประเภทแป้งอยู่

เหล้า
หากดื่มเหล้าในขณะท้องว่าง จะไปกระตุ้นเยื่อบุกระเพาะอาหาร ทำให้เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบและเป็นแผลในกระเพาะอาหารได้

น้ำตาลหรืออาหารหวาน
ไม่ควรรับประทานอาหารหวานหรือน้ำตาล เช่น น้ำอัดลม ลูกอม ช็อกโกแลต เพราะหากรับประทานขณะท้องว่างจะทำให้โปรตีนรวมตัวกับน้ำตาลส่งผลต่อการดูด ซึมโปรตีนทุกชนิดและลดสมรรถภาพการทำงานของระบบหมุนเวียนเลือดและไต

ชาที่แก่เกินไป
ชาทำให้ กรดเกลือในน้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือจาง ส่งผลให้การทำงานของระบบย่อยอาหารลดลง และเกิดอาการใจสั่น เวียนศีรษะมือเท้าไม่มีแรง จิตใจไม่สงบ

ลูกพลับ
ไม่ควรรับประทานลูกพลับในขณะที่ท้องว่าง เพราะกระเพาะอาหารจะหลั่งกรดเกลือออกมามาก หากไปรวมตัวกับยาง และสารแขวนลอยในลูกพลับแล้ว จะทำให้เจ็บหน้าอก คลื่นไส้และเป็นแผลในกระเพาะอาหาร

กล้วย
เพราะ กล้วยอุดมไปด้วยธาตุแมกนีเซียม การรับประทานกล้วยขณะท้องว่าง จะทำให้ปริมาณธาตุแมกนีเซียมในเลือดสูงขึ้น ทำให้สูญเสียสัดส่วนของแคลเซียมและแมกนีเซียมไปเป็นการยับยั้งการทำงานของ หลอดเลือดหัวใจเป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างยิ่ง

กระเทียม
เพราะจะทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหารได้รับการกระตุ้น เกิดโรคกระเพาะอาหารอักเสบอย่างรุนแรง

ผัก
การรับประทานผักอย่างเดียวขณะท้องว่าง จะทำให้กระเพาะอาหารเกิดอาการผิดปกติ

นอก จากนั้นยังไม่ควรอาบน้ำและออกกำลังกายด้วยเช่นกัน เพราะการอาบน้ำและการออกกำลังกายในขณะที่ท้องว่าง จะทำให้เกิดอาการช็อกเนื่องจากน้ำตาลในเลือดต่ำได้ง่าย อย่าลืมสิ่งใดที่มีคุณอนันต์ก็อาจมีโทษมหันต์เช่นกัน ถ้าคุณปฏิบัติอย่างผิดวิธี


มาส์กหน้า มีประโยชน์มากกว่าที่คิด

เขียนโดย aimmy ที่ 23:22 0 ความคิดเห็น

ผิวที่ ต้องเผชิญกับมลพิษทุกวัน ลำพังการล้างหน้าและบำรุงผิวอาจไม่เพียงพอ ดังนั้นการดูแลผิวด้วยขั้นตอนพิเศษจึงเป็นเรื่องสำคัญ และการใช้มาสก์นับเป็นตัวเลือกที่ดีในการฟื้นฟูผิว



มาสก์นั้นจะอุดมไปด้วยส่วนผสมที่เข้มข้น มากกว่าที่มีอยู่ในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวทั่วๆ ไป ดังนั้นการมาสก์ผิวจึงช่วยให้ประโยชน์กับผิวได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

ประโยชน์ของการมาสก์ผิวนั้น นอกจากจะช่วยรักษาความอ่อนเยาว์ของผิวหน้า ป้องกันริ้วรอยก่อนวัยแล้ว มาสก์ยังช่วยทำ ความสะอาดได้อย่างล้ำลึก ช่วยดูดซับสารพิษออกจากผิว กระชับและลดขนาดรูขุมขน เพิ่มกระบวนการไหลเวียนของโลหิต ทำให้ผิวดูเปล่งปลั่ง นวลเนียน และสร้างความมีชีวิตชีวาให้กับผิว คล้ายๆ กับการทำสปาผิวหน้าที่บ้าน ด้วยเนื้อสัมผัสที่เย็นฉ่ำและกลิ่นหอมอ่อนๆ ของมาสก์ยังช่วยผ่อนคลายความเครียด ทำให้คุณมีความสุข เป็นการให้รางวัลกับบางวันของชีวิตเล็กๆ น้อยๆ อีกด้วย

คิดเสียว่ามาสก์หน้าก็เหมือนกับการให้สารอาหารกับผิวอย่างล้ำลึกพิเศษสุด เนื่องจากมาสก์จะมีความเข้มข้นมากกว่ามอยส์เจอไรเซอร์หรือการบำรุงผิวแบบ อื่นๆ เนื่องจากเมื่อใช้บนผิวสักพักก็จะให้กำเนิดความร้อนจากภายใน ซึ่งช่วยเปิดรูขุมขน แล้วส่งผ่านสารอาหารต่างๆ ที่มีลงสู่ผิวได้อย่างล้ำลึก รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ ในมาสก์บางชนิดยังสามารถช่วยดูดซับน้ำมันส่วนเกินและสิ่งสกปรกตกค้างจากมล ภาวะบนผิวได้อ่อนโยน นุ่มนวลกว่าการใช้โทนเนอร์ สครับ หรือเอสทริเจนท์เช็ดเสียอีก นอกจากนี้มาสก์ยังช่วยชดเชยความชุ่มชื้นที่จำเป็นให้กับผิว โดยเฉพาะเวลาที่อากาศเปลี่ยนแปลงได้อย่างดี

ทั้งนี้ไม่ควรมาสก์หน้าเกินสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ซึ่งเป็นจำนวนที่เหมาะสมที่สุดแล้ว เพื่อป้องกันสภาวะที่แห้งเกินไปของผิว จนอาจเกิดอาการระคายเคือง และก็ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ เปรียบเหมือนกับการออกกำลังกาย ซึ่งคุณคงไม่ได้รับประโยชน์เท่าไหร่หากจะใช้ 2-3 เดือนครั้ง แต่ถ้าคุณไม่สะดวกหรือไม่สามารถทำได้ตลอด คุณอาจเลือกใช้มาสก์เฉพาะในช่วงปลายฤดูร้อน ซึ่งผิวมักจะแห้ง ขาดความชุ่มชื้น เนื่องจากความร้อนของแสงแดด และช่วงปลายฤดูหนาว เนื่องจากผิวมักแห้งกร้าน สูญเสียน้ำไปกับอากาศที่แห้งแล้ง ใช้แค่ช่วงปลายฤดูกาลที่ว่านี้ก็ยังดี แล้วจบด้วยการใช้ผ้าขนหนูเปียกชุบน้ำอุ่นเช็ดมาสก์ผิวที่พอกไว้ออก ซึ่งการเช็ดนี้จะทำหน้าที่คล้ายๆ กับการผลัดผิวที่อ่อนโยน ทำให้ผิวดูแล้วสดใสเปล่งประกายในทันที
เวลาเลือกมาสก์ควรคำนึงถึงสภาพผิวของเราด้วย ถ้าหากคุณมีผิวมัน เลือกใช้มาสก์ที่ทำจากโคลน เพื่อช่วยดูดซับน้ำมันส่วนเกินบนผิว แต่ถ้าคุณมีผิวแห้ง ลองมาสก์ชนิดเนื้อครีมเข้มข้นให้ความชุ่มชื้น หรือถ้าคุณมีผิวแพ้ง่าย ควรเลือกใช้มาสก์ชนิดเจลเนื้อเบา แต่ถ้าคุณมีผิวผสม อาจต้องการมาสก์ที่มากกว่า 1 ชนิดเพื่อ การพอกในจุดที่ต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น ป้องกันการเกิดสิวบริเวณช่วงทีโซนด้วยมาสก์ที่ช่วยทำความสะอาดล้ำลึก ส่วนบริเวณแก้มใช้มาสก์ที่ให้ความชุ่มชื้นเพื่อผิวนุ่มนวลน่าสัมผัส จะยิ่งดีใหญ่ถ้าหากสามารถเลือกมาสก์ที่ช่วยดูแลปัญหาอย่างเฉพาะเจาะจงและ เหมาะกับสภาพผิวของคุณอย่างแท้จริง

11 สูตรเด็ด เคล็ดลับหน้าใส

เขียนโดย aimmy ที่ 23:18 0 ความคิดเห็น

null

ยุคนี้สมัยนี้เทรนด์หน้าใสกำลังมาแรงไม่ว่าจะคนหนุ่มสาวหรืออายุจะล่วง เลยวัยกระเตาะมาหลายปีแล้วก็ตาม แต่ใครบ้างล่ะอยากแก่แถมใบหน้ามีแต่ริ้วรอยเxxx่ยวย่น หากไม่อยากหน้าแก่ก่อนวัยและคงความหน้าใสให้ยาวนานที่สุดวันนี้เรามี 11 เคล็ดลับวิชาหน้าใสมาฝากกันดังนี้

1. อย่าถ่างตานอนดึกให้มากนัก ไม่ว่าจะอ่านหนังสือ ดูหนัง ดูละคร หรือทำงานอย่างไม่หยุดพัก ถึงใจยังสู้แต่สังขารอาจไม่ไหว นอนแต่หัวค่ำดีกว่า

2. ดื่มน้ำมากๆให้ได้วันละ 6 8 แก้ว หรือหากคุณดื่มมากกว่านั้นได้ก็จะเป็นการดี และยิ่งถ้าเป็นน้ำเปล่าก็ยิ่งจะดีใหญ่ หากคุณชอบดื่มน้ำอัดลมก็ดื่มได้เป็นครั้งคราว เพราะถ้าดื่มมากๆ จะทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหารและกัดกระเพาะจนคุณปวดท้องได้

3. ออกกำลังกายเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอและบริหารหน้าด้วยการนวด หรือง่ายๆแค่พูดว่า อา อี เอ โอ อู ออกกำลังกายกล้ามเนื้อหน้า หน้าจะได้ไม่เxxx่ยวย่น

4. งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ งดน้ำชา กาแฟ งดสูบบุหรี่ เพราะมันจะทำให้คุณแก่เกินอายุค่ะ ถ้าใครเถียงหละก็... ขอท้าให้คุณสูบบุหรี่ ดื่มกาแฟจัดๆ ลองเดินคู่กับเพื่อนที่ไม่ดื่ม ไม่สูบ แล้วถามคนอื่นๆดูว่าคุณกับเพื่อนใครแก่กว่ากัน

5. อย่าตากแดดเป็นเวลานาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งแสงแดดที่แรงจัด มิเช่นนั้นหน้าของคุณจะแก่ไม่รู้ตัว หากต้องเผชิญกับแสงแดดอย่าลืมทาครีมกันแดดก่อนออกจากบ้าน

6. ใช้โลชั่นอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีความเสี่ยง หรืออยู่ในสิ่งแวดล้อมที่จะทำให้แก่ เช่น อยู่แต่ในห้องแอร์ ที่เปิดเบอร์เดียวหนาวจัดตลอดปีตลอดชาติ หากแอร์ของคุณปรับได้ กรุณาปรับอุณหภูมิบ้างเถอะค่ะ

7. ทำความสะอาดร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งใบหน้าให้สะอาดอยู่เสมอ แล้วยิ่งหากคุณเป็นสิวด้วยแล้วคุณควรใช้โฟมล้างหน้าที่เหมาะสำหรับการรักษา สิวเท่านั้น โฟมที่มีส่วนผสมของ AHA จะช่วยทำให้ใบหน้าของคุณลื่นขึ้น ที่สำคัญห้ามแกะสิวอย่างเด็ดขาด คนที่เป็นสิวเสี้ยนหากยิ่งแกะ ผิวของคุณหลังแกะก็จะคล้ายกับโลกดวงจันทร์ ส่วนบรรดาสิวมีหนองทั้งหลาย หากยิ่งแกะก็จะยิ่งเกิดการอักเสบ สิว เป็นตัวการหนึ่งที่ทำให้ใบหน้าของคุณดูเครียดและแก่ได้โดยเฉพาะบรรดาผิวโลก ดวงจันทร์ทั้งหลาย

8. หากคุณเป็นคนผิวแห้ง ควรใช้มอยซเจอร์ไรส์ก่อนนอนทุกครั้ง และถ้ามีส่วนใดที่แห้งเป็นพิเศษ ควรใช้โลชั่นที่มี AHA ทาให้ทั่วบริเวณ แต่ถ้าคุณเป็นคนหน้ามัน ควรใช้มอยซเจอร์ไรส์ชนิดเจลจะเหมาะกว่าชนิดครีม

9. อย่าใช้มือสัมผัส จับ ลูบ ถูใบหน้าในช่วงระหว่างวัน จำไว้ว่างทุกครั้งเมื่อไปถึงที่ทำงานหรือทันทีที่กลับถึงบ้านต้องล้างมือ ก่อนเสมอ เพราะมือของเราจับต้องสิ่งสกปรกเชื้อโรค ฝุ่นละอองต่างๆมาตลอดทั้งวัน และการที่คุณจะเผลอเอามือไปจับหน้าจับตาอาจทำให้สิวขึ้นได้

10. ล้างเครื่องสำอางออกอย่างระมัดระวัง เพื่อความปลอดภัย ให้คุณล้างมาสคารา หรืออายแชโดว์ ด้วยเครื่องสำอางที่ปราศจากน้ำมัน ทั้งนี้เพื่อมิให้น้ำมันที่ว่าแทรกซึมไปตามผิวหนังส่วนอื่นๆ เพราะอาจจะไปกระตุ้นหรือระคายเคืองผิวให้เกิดสิวขึ้นบนใบหน้าได้

11. หากมีปัญหาเรื่องผิวบนใบหน้า ไม่ว่าจะเป็นปัญหาอะไรก็ตามแต่ ให้ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง ดีกว่าไปนั่งปรึกษาตามเคาน์เตอร์เสริมความงามอย่างแน่นอน

อาหาร 7 อย่างช่วยชะลอสัญญาณแห่งวัย

เขียนโดย aimmy ที่ 23:16 0 ความคิดเห็น

null

หยุดผมร่วง รับประทานกล้วย ซึ่งอุดมไปด้วยวิตามินบี มีสรรพคุณป้องกันผมร่วงได้ดี การรับประทาน กล้วยเข้าไปในปริมาณที่เพียงพอ จะช่วยรักษาเส้นผมให้อยู่คู่กับหนังศีรษะได้นานวัน

ลดผิวมัน รับประทานธัญญาหารทุกเช้า ซึ่งอุดมด้วยวิตามินบี 2 ที่ช่วยหยุดยั้งการผลิตน้ำมันส่วนเกิน ของต่อมผลิตภายในร่างกายที่เป็นสาเหตุหนึ่งของเส้นผมบางและมัน

หยุดการลอกของผิวหนัง รับประทานปลาแซลมอนใส่เกลือรมควัน อาหารทะเล หรือสลัดผักสดก็ได้

ผิวเนียนใสเหมือนเด็ก มะม่วงมีเบต้าแคโรทีนที่ช่วยทำให้ผิวมีสุขภาพดี โดยช่วยกระตุ้นการสร้าง ผิวหนัง รวมทั้งหนังศีรษะเพื่อทดแทนของเดิมที่หยาบแห้งและขรุขระ ให้กลับมีความชุ่มชื่นและนุ่มเนียน

ชะลอผมหงอก รับประทานถั่วลิสงอบเนยรวมกับเกล็ดขนมปังที่อบมาร้อน ๆ ก่อนมื้ออาหาร ถั่วลิสงมี วิตามินบีที่สามารถหยุดการเปลี่ยนสีผมให้เป็นสีดอกเลาได้ และยังทำให้ผิวหนังดูดีขึ้นอีกด้วย

ดูหนุ่มสาวขึ้นอีก 5 ปี รับประทานฝรั่ง หรือน้ำฝรั่งซึ่งอุดมด้วยวิตามินซี เพราะจะช่วยเก็บรักษา คอลลาเจนที่เป็นบ่อเกิดแห่งโปรตีนภายใต้ผิวหนัง หรือรับประทานมะละกอ ส้ม ลูกเกดสีดำอบแห้ง ร่วมกับ ผลไม้ประจำวันก็จะช่วยเพิ่มวิตามินซีเช่นกัน

ปกป้องใบหน้าจากมลพิษ วิตามินบีในอะโวคาโดช่วยทำให้ใบหน้าดูอ่อนกว่าวัย และร่างกายเกิดความ ต้านทานจากการทำลายในรูปแบบต่างๆ ทั้งนี้รวมถึงการถูกทำลายจากบรรยากาศที่มลภาวะเป็นพิษ


ดื่มชาร้อนจัดเสี่ยงมะเร็ง

เขียนโดย aimmy ที่ 23:14 0 ความคิดเห็น

null

การดื่มน้ำชาที่ร้อนจัดนั้นไม่ดีและควรรอสัก 2-4 นาทีเพื่อให้น้ำชาเย็นลง จะลดความเสี่ยงการเป็นโรคมะเร็งหลอด อาหารส่วนต้น

"สถาบันชา" หรือ "ทีเคาซิล" ของอังกฤษได้ศึกษา การดื่มชาของประชาชนจากจังหวัดโกลสถาน ประเทศอิหร่าน ที่นิยมดื่มน้ำชาขณะที่ร้อนเกิน 70 องศาเซลเซียส และพบว่า มีจำนวนผู้เป็นมะเร็งชนิดนี้สูง ซึ่งแต่ละปีโรคมะเร็งหลอดอาหารส่วนต้นคร่าชีวิตประชาชนราว 500,000 คน

นายบิล กอร์แมน เจ้าหน้าที่สถาบันชา กล่าวว่า

ผู้ ที่ดื่มชาร้อนกว่า 70 องศามีโอกาสเป็นมะเร็งหลอดอาหารส่วนต้น สูงกว่าปกติถึง 8 เท่า ถ้าดื่มชาร้อน 65-69 องศา โอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็งเพิ่มขึ้น 2 เท่า ความร้อนที่ดีที่สุดในการดื่มชาคือ 60 องศา และเราไม่พบว่า การดื่มชามากจะทำให้โอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็งมีมากขึ้น"


สีผมและสไตล์ผมของสาวๆ ตามปีเกิด

เขียนโดย aimmy ที่ 23:10 0 ความคิดเห็น

สีผมและสไตล์ผมของสาวๆ ตามปีเกิด มาดูกันสิคะว่า สาวที่เกิดในปีต่างๆ กัน เหมาะกับผมทรงอะไร แล้วควรจะทำสีผมสีไหนถึงจะถูกโฉลก



สาวปีชวด
ทรงผมที่ถูกโฉลกกับเธอที่สุดคือลักษณะผมที่ตัดสั้นแบบสาวทันสมัยให้ดูคล่อง แคล่ว แต่มีความเก๋ไก๋แบบน่ารักๆ สีผมที่ถูกโฉลกกับเธอที่สุดหนีไม่พ้นสีผมโทนน้ำตาลอ่อน หรือบรอนด์เพื่อเสริมความอ่อนหวานให้ใบหน้าของเธอ

สาวปีฉลู
ทรงผมที่ถูกโฉลกกับเธอที่สุดหนีไม่พ้นผมปล่อยยาวสยาย หรือหากในเวลาทำงานก็เพียงรวบตึงไว้ทางด้านหลังแบบเรียบๆ สีผมขรึมๆ ไม่จัดจ้าน จะเหมาะกับบุคลิกของเธอคนนี้ที่สุด

สาวปีขาล
ทรงผมที่เหมาะกับเธอเป็นทรงผมโมเดิร์น ทันสมัย อินเทรนด์แบบกราฟฟิกที่จัดทรงง่าย ส่วนสีผมที่เหมาะกับเธอที่สุดเป็นเฉดสีเข้ม หรือน้ำตาลธรรมชาติ จะถูกโฉลกกับสาวที่เกิดปีนี้ที่สุด

สาวปีเถาะ
ทรงผมที่เหมาะกับเธอเป็นทรงผมสั้นที่มีความพลิ้วไหวในตัว ดูอ่อนหวานแต่ทะมัดทะแมง สีผมธรรมชาติ หรือไฮไลท์สีบรอนด์อ่อนๆ เหมาะกับเธอที่สุด

สาวปีมะโรง
ทรงผมยาวทำลอนหยิกแบบทันสมัย สีผมเข้มตามธรรมชาติแบบไม่มีไฮไลต์ถูกโฉลกกับเธอที่สุด

สาวปีมะเส็ง
ผมยาวเหยียดตรงเป็นมันวาวแบบสาวสุขภาพดี สีผมที่ถูกโฉลกกับเธอเป็นผมสีดำเหมาะที่สุดหรือน้ำเงินเข้มจะช่วยเสริม บุคลิกให้เธอมั่นใจมากขึ้น

สาวปีมะเมีย
ทรงผมที่เหมาะสมและถูกโฉลกกับเธอที่สุด จะเป็นทรงผมที่ดูยุ่งๆ เซอร์ๆ แต่ดูทันสมัย ไม่ใช่ยุ่งเหยิงแบบเพิ่งตื่นนอน สีผมที่เหมาะกับเธอที่สุดคือสีบรอนด์และสีแดง โดยจะเป็นลักษณะไฮไลต์ หรือโลว์ไลด์สลับกันไปก็ได้ ที่สำคัญคือจะต้องให้ดูทันสมัย คล่องแคล่ว เหมาะกับบุคลิกของเธอ

สาวปีมะแม
ทรงผมยาวสยายแบบเป็นลอนเล็กๆ หรือรวบขึ้นด้วยปิ่น แล้วปล่อยผมลงมาเคลียหน้าให้ดูเซ็กซี่แบบคลาสสิก จะเข้ากับบุคลิกของเธอที่สุด หากถามถึงสีผมสำหรับเธอ สีน้ำตาลเข้มแบบธรรมชาติถูกโฉลกกับเธอที่สุด

สาวปีวอก
ทรงผมที่เหมาะกับเธอที่สุดคือ ทรงผมที่สนุกสนาน เพิ่มสีสันให้กับสถานที่ต่างๆ ที่เธอแวะเวียนไป เสริมสร้างบุคลิกภาพให้ดูครึกครื้น ร่าเริง แจ่มใสนั่นเอง


สาวปีระกา
ทรงผมที่จัดทรงง่ายๆ และใช้เวลาไม่มากนักเหมาะกับเธอ ผมบ๊อบที่ตัดตรงหรือสไลซ์เล็กน้อยเหมาะกับเธอที่สุดแล้ว

สาวปีจอ
ทรงผมที่เหมาะกับเธอคือทรงผมออกแนวเซ็กซี่ ม้วนลอนผมให้สยายเคลียไหล่ หรือปล่อยให้ผมลงมาปรกหน้าบ้างจะเหมาะกับบุคลิกของเธอมาก สีผมที่เหมาะกับเธอที่สุดคงหนีไม่พ้นสีน้ำตาลเข้มแบบธรรมชาติ

สาวปีกุน
ทรงผมที่เธอต้องการคือทรงผมแบบธรรมมชาติ จัดแต่งทรงง่ายๆ ปล่อยผมสยายแบบสบายๆ หรือรวบผมไว้พออยู่สำหรับเวลางานจะเหมาะกับเธอที่สุด สีผมเข้มโทนสุภาพเป็นสีที่ถูกโฉลกกับเธอ



แฟชั่นทรงผม สไตล์เกาหลี

เขียนโดย aimmy ที่ 23:07 0 ความคิดเห็น

แฟชั่นทรงผมกับความน่ารักของสาวเกาหลี น่ารักทั้งนั้นเลยนะคะเนี่ย





 

ความสวยและแฟชั่นที่ไม่ทำให้คุณตกเทรนด์ Copyright © 2009 Paper Girl is Designed by Ipietoon Sponsored by Online Business Journal