วันอาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

แฟชั่น เสื้อลายสก๊อต กำลังมาแรง....

เขียนโดย aimmy ที่ 13:37 3 ความคิดเห็น
ฤดูหนาวปีนี้หันมาลองจับเสื้อลายสก๊อตใส่กับเลกกิ้ง หรือจะจับกระโปรงลายสก๊อตใส่กับเสื้อผ้าสีเรียบก็ทำให้ดูเก๋และเท่ห์ไม่เบาเลยนะค่ะ

วันเสาร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2553

วิธีเลือกลิปสติกให้เหมาะสม

เขียนโดย aimmy ที่ 21:21 2 ความคิดเห็น


ลิปสติกแท่งหนึ่งไม่ใช่ถูกๆ ก่อนจะควักกระเป๋าเสียเงินซื้อ สาวๆ จึงต้องคิดให้ดีก่อนว่าลิปสติกแท่งนี้เวิร์คโดนใจ และเหมาะกับคุณจริงๆหรือเปล่า


1. สถานการณ์ ลิปสติกที่คุณควรซื้อต้องเป็นสีที่เหมาะกับสถานที่ เหมาะกับงานการที่คุณจะไป ถ้าไม่ต้องซื้อเพื่อไปงานเลี้ยงที่ไหนโดยเฉพาะ ควรจะคิดถึงบรรยากาศในที่ทำงานของคุณเป็นหลัก เช่น ถ้าคุณเป็นครูก็ไม่ควรจะซื้อสีที่ฉูดฉาดบาดตาเด็กๆ มากนัก แต่ถ้าเป็นการทำงานในแวดวงแฟชั่นที่ทุกคนเค้าแต่งหน้ากันอินเทรนด์ ก็ควรจะเลือกสีนู้ดที่เข้าได้กับเสื้อผ้าเก๋ๆ พกวสีช็อกกิ้งพิ้งหรือชมพูแปร๊ดสไตล์คุณป้านี่ ถึงจะชอบแค่ไหนก็ต้องตัดใจไปก่อน

2. สีผิว ถ้าได้ลิปสติกที่ตัดกับสีผิวจะทำให้คุณดูไม่มีรสนิยม จึงต้องคิดถึงข้อนี้ให้มากๆ ด้วย สีที่เหมาะกับคนผิวขาวหรือผิวอมชมพูคือลิปสติกสีออกชมพู แดง ส้ม เฉดอ่อนๆ ส่วนสาวผิวสีน้ำผึ้งจะใช้สีเข้มๆ ได้ดี อย่างสีน้ำตาล สีแดงเข้มและตระกูลสีแดงทั้งหลาย แต่สำหรับสาวที่ผิวสีเข้มเป็นสีกาแฟไปเลยนั้นจะเป็นคนที่ใช้ได้เกือบทุกเฉดสีในโลก ไม่ว่าจะเป็นน้ำตาลจัด น้ำตาลเข้ม น้ำตาลกาแฟ หรือจะใช้สีแดงๆ ด้วย

2.1. ผิวขาว
สามารถใช้ลิปสติกได้ทุกเฉดสี และโทนสีต่าง ๆ จะสามารถให้ความรู้สึกและสะท้อนบุคลิกภาพที่แตกต่างกันออกไป
- โทนสีชมพู ทำให้ใบหน้าอ่อนเยาว์มากขึ้น
- โทนสีแดง ทำให้หน้าสว่างไสว โดดเด่นและมีเสน่ห์สะดุดตาเป็นพิเศษ
- โทนสีน้ำตาล ทำให้ใบหน้าดูเท่


2.2 ผิวสองสี
แนะนำให้เลือกใช้เฉดสีส้ม สีที่เหมาะที่สุด คือ สีโอลด์โรส ถ้าจะเลือกใช้โทนสีแดงก็ควรเป็นสีแดงออกส้ม ส่วนโทนสีน้ำตาลลองเลือกดูเป็นสีน้ำตาลอมส้มก็จะช่วยให้ใบหน้าดูกระจ่างใสขึ้น

2.3 ผิวคล้ำ
สีลิปสติกที่เลือกใช้ควรมีโทนแดงผสมอยู่ จะทำให้ผิวหน้าสว่างใสยิ่งขึ้น หลีกเลี่ยงลิปสติกสีคล้ำและถ้าหากชอบใช้สีสด ๆ อยู่แล้วควรเลือกสีแดงสดไปเลย

ส่วนสาว ๆ ที่มีปัญหาริมฝีปากคล้ำให้ทารองพื้นบนริมฝีปากด้วยเพื่อปรับสีผิวริมฝีปากให้กลมกลืนกับสีผิวโดยรวมของใบหน้า แล้วค่อยทาลิปสติกสีที่เลือก หรืออาจเลือกใช้ลิปสติกที่มีสีเข้มกว่าสีที่ชอบใช้เล็กน้อย และที่สำคัญควรเลือกลิปสติกที่มีคุณสมบัติเนื้อลิปสติกละเอียด ให้ฟิล์มสีที่แ

3. ริมฝีปาก ปากบางๆ จะเหมาะกับเฉดสีอ่อนๆ มากกว่า และควรจะเติมลิปรลอสทับอีกชั้น เพื่อเพิ่มความโดดเด่นให้ปากดูหนาขึ้น แค่นี้ก็ดูดีน่าจูจุ๊บจะแยู่แล้วแล้ว

มาดูวิธีการแต่งหน้าให้เด้งกันนะ

เขียนโดย aimmy ที่ 21:18 1 ความคิดเห็น
มาบอกขั้นตอนของการแต่งหน้ากันดีกว่า (ที่มี* อยู่ข้างหน้า แปลว่าข้ามไปได้ ไม่ทำก็ไม่เป็นไรนะจ๊ะ)

1. เราต้องล้างหน้าให้เรียบร้อย พร้อมทั้งเช็ดด้วยโทนเนอร์เพื่อทำความสะอาดอย่างล้ำลึก (ถ้าคนแพ้ง่ายและหน้าแห้งเนี่ย เราไม่แนะนำให้ใช้โทนเนอร์เท่าไหร่ เพราะมันจะทำให้หน้าแห้งมากและเป็นขุยง่าย)

2. ทามอยซ์เจอไรเซอร์ ตามแต่สภาพผิวของแต่ละคน ถ้ามีกันแดดด้วยก็จะดีมาก แต้ม 5 จุด ทั่วหน้านะฮะ แล้วเกลี่ยด้วยนิ้วนางหรือนิ้วก้อยเลยก็ได้ (วิธีเกลี่ยนี้ ใช้ได้กับทุกผลิตภัณฑ์)

*3. ลงMake upBase เพื่อปรับสีผิวของหน้าเราให้เป็นธรรมชาติมากขึ้น เท่าที่ความรู้จะพอจำได้เนี่ย
make up base มีหลายสีเน้อ....สำหรับคนสีผิวหน้าหลายแบบ
แต่ถ้าแต่งเล่นๆ หรือคอสเฉยๆก็ไม่ต้องใช้ก็ได้ ....ถูกแล้ว
make up baseจริงๆที่เคยเห็นมี 3 สี คือ เหลือง, ม่วงและเขียว (ของลังโคมก็ดีนะตะเอง)
สีเขียวเหมาะกับคนที่หน้าหมองคล้ำ เช่น นอนน้อย ตาเป็นแพนด้า หรือคนผิวสีคล้ำ จะทำให้หน้าสว่างขึ้นเพราะมันจะทำการตัดสีกับผิวหน้า
สีม่วง เหมาะกับผิวที่เป็นรอยแดงจากสิว จะช่วยกลบสีแดงๆได้
สีเหลือง เหมาะกับคนผิวสองสี เพราะจะทำให้หน้าสว่างและทำให้รองพื้นที่เราใช้กลมกลืนกับผิวหน้าคนไทยมากขึ้นจ้ะ

4. ลงรองพื้นโลด ทา 5 จุดเช่นเคย ถ้าอยากรู้รายละเอียดเพิ่มเติมก็ไปอ่านที่น้องปลาต่อได้
เค้าว่ากันว่า นิ้วคนเราเนี่ยเป็นสิ่งที่แต่งหน้าได้ดีที่สุดแล้วจ้ะ เพราะว่าพวกฟองน้ำเกลี่ยเนี่ย มันจะเปลือง
แถม ถ้าเราไม่ค่อยล้างฟองน้ำที่ทารองพื้น มันก็จะเน่าได้ แล้วก็เวลาทาเนี่ย ทาให้หมดทั้งหน้านะจ๊ะ ไม่เว้นแม้แต่เปลือกตาและรอบริมฝีปาก บางทีก็ทาบนริมฝีปากไปเลยก็ได้ เพราะถ้าจะเขียนขอบปากใหม่ จะง่ายขึ้นมากๆ แต่ตอนนี้มีการรองพื้นแบบใหม่ เค้าเรียกว่าแบบเพชร คือ ทาแค่กรอบหน้าตรงกลางจ้ะ


5 จุดแบบเพชร


5. ตอนทารองพื้นเนี่ย แนะนำให้ทาลิปมันรอที่ปากด้วยนะจ๊ะ ปากจะได้ชุ่มชื่นไม่แห้งแตกเวลาทาลิปจริง

*6. ลงคอนซีลเลอร์ เพื่อปกปิดจุดบกพร่องบนใบหน้า
คือ จะเป็นรองพื้นแต่ว่าจะมีสีอ่อนกว่าสีใบหน้าจริงของเรา คอนซีลเลอร์เนี่ยเอาไว้ปกปิดรอยสิวและรอยกระได้จ้ะ ก็จะมีทั้งแบบแท่งไว้แต้มเป็นจุดๆและแบบครีม

*7. Hi-light&Shading คอนซีลเลอร์และไฮไลท์จะมีลักษณะคล้ายๆกัน
ส่วน ไฮไลท์เนี่ย จะเอาไว้ทา4จุด คือ บริเวณใต้ตา, สันจมูก(สำหรับคนไม่ค่อยมีดั้ง), ใต้ริมฝีปาก, ร่องแก้ม และอาจลงตรงปลายคิ้วด้วยก็ได้ เพื่อทำให้ตาเราโตขึ้น
เฉดดิ้ง(Shading) ก็เหมือนการลงแสงเงาให้ใบหน้าน่ะแหละ แบบว่าเราต้องมองว่าหน้าเราเนี่ยเป็น 3 มิติใช่มะ
เฉดดิ้งก็จะลง4จุดเช่นกัน เพื่อสร้างเงาให้ใบหน้า คือ ขอบหน้าผาก, ขอบกราม (สำหรับคนหน้าบาน), ปีกจมูก, แนวโหนกแก้ม

<------- รูปน่าเกลียดอย่างรุนแรง แต่แต่งแบบนี้จริงๆนะ +++ นี่คือ การแต่งหน้าวัยรุ่น ถ้าอยากแก่ก็ให้กลับตำแหน่งของไฮไลท์และเฉดดิ้ง+++ ถ้าไม่อยากเปลืองมาก จะทำไฮไลท์-เฉดดิ้งในขั้นตอนการลงสีสันเลยก็ได้จ้ะ 8. ลงแป้งฝุ่นทับ ...ย้ำว่าแป้งฝุ่น เพราะถ้าคุณลงรองพื้นแล้วก็คือการเคลือบหน้าในระดับหนึ่งแล้ว
บางคนเข้าใจผิด เอาแป้งอัดแข็งหรือแป้ง2wayมาลง มันจะทำให้ยิ่งหนาเป็นหน้ากากมากขึ้น
การ ลงแป้งเนี่ย ให้ใช้การตบเอาอย่าปัดหรือปาด เพราะจะทำให้รองพื้นและไฮไลท์-เฉดดิ้งที่ลงไว้เสียหมด (เหมือนแต่งหน้าเค้กน่ะแหละ) ลงแป้งไปเยอะๆเลยนะคะ เอาให้ทั่วทุกส่วนของใบหน้า จะได้เรียบเนียน ไม่ต้องกลัวว่าหน้าจะวอก เพราะกว่าจะแต่งหน้าเสร็จแป้งก็คงจะหลุดร่วงไปเยอะแล้วล่ะ วิธีพิสูจน์ว่าเรียบเนียนหรือยัง ก็เอานิ้วมาลองอังๆ ว่าลื่นหมดทั้งหน้าหรือยัง ถ้ายังก็ลงเพิ่มไปอีกค่ะ

9. เรามาเริ่มแต่งสีสันบนใบหน้ากันดีกว่าเริ่มจากส่วนของคิ้วนะคะ
บางคนอาจเริ่มที่คิ้ว คนที่ไม่เคยเขียนก็อาจจะกลัวและเขียนคิ้วไม่เท่ากัน
เอา งี้ ทำง่ายๆว่า คิ้วเราจะยาวแค่ไหนดี ให้ใช้พู่กันทาบตรงปลายปีกจมูกและหางตา ไปถึงตรงไหนของคิ้วก็ให้ปลายคิ้วที่เราจะเขียนอยู่ที่นั่น




ถ้าใครกันคิ้วได้ ก็ควรกันคิ้วก่อน...(จริงๆควรกันตั้งแต่ลงมอยซ์เจอร์เสร็จนะ)
แล้ว คิ้วที่จะเขียนเนี่ย มี 2 รูปแบบ คือ แบบคิ้วโค้ง และคิ้วเฉียบ คิ้วโค้งเหมาะกับบุคลิกของสาวอ่อนหวาน จะแต่งหน้าแนวหวานๆก็ให้เขียนคิ้วโค้ง แต่ถ้าจะออกแนวเก๋ๆหน่อยก็ให้เขียนแบบเฉียบตวัดค่ะ

ดินสอ เขียนคิ้วเนี่ย แนะนำว่าให้สีเดียวกับมาสคาร่าหรือสีเดียวกับผมก็ดีค่ะ เหลาให้เกือบแหลมก็ดีนะ เพราะจะได้เขียนแล้วไม่เป็นปื้น พอเขียนได้ที่แล้วก็ค่อยเพิ่มความหนาของเส้นค่ะ
+++ คิ้วเด็กวัยรุ่นก็เขียนแบบหนาก็ได้....บางก็ได้ ไม่ค่อยมีคนว่าหรอกค่ะ แต่ของคนแก่เนี่ยเค้ามักจะเขียนคิ้วเป็นเส้นเล็กค่ะ +++

10. ลงสีที่เปลือกตาค่ะ เราจะใช้อุปกรณ์ที่เรียกว่า อายแชโดว์นั่นเอง....ถ้าแต่งแบบคลาสสิค สาวทำงานเนี่ย ควรมีสีอย่างน้อย 2 สีเป็นแนวEarth Toneติดตัวไว้นะคะ (สีเบจ, น้ำตาลอ่อน, น้ำตาลเข้ม)
เราจะลงสีอ่อนก่อน อาจะเป็นสีเบจ ทาทั่วเปลือกตาก่อน


12
3เสร็จสมบูรณ์


แล้ว เราจะเอาสีเข้มมาลงที่ขอบเปลือกตาและท้ายตา พยายามแปรงเป็นเบ้าๆเพื่อสร้างขอบให้ตานะคะ ยิ่งคนตาเล็กเนี่ย จะหาเบ้ายากมาก ก็ไม่เป็นไร เพราะการเอาสีเข้มมาลงท้ายตาก็สร้างมิติให้แล้ว
+++สำหรับ น้องจะแต่งแนววัยรุ่น ก็เลือกสีแบบแรงๆ ตัดกันก็ได้ เช่น เขียว-เหลือง, ม่วง-ชมพู, ฟ้า-ชมพู ฯลฯ แต่ให้เพื่อนๆช่วยดูด้วยนะ เด๋วเค้าจะนึกว่าเป็นนกแก้ว อิอิ+++

*11. กรีดอายน์ไลเนอร์ให้ตาเฉียบ ตวัดเส้นให้สวยงามนะคะ มีลายสี ถ้าอยากแนวมากเอาสีฟ้ามากรีดก็ได้นะของZAมีขายอยู่ ....จะดูเป็นหมวยอินเตอร์มากๆ

12. ปัดมาสคาร่า เค้าว่ากันว่าแต่งหน้าทั้งหน้าแล้วไม่ได้ปัดมาสคาร่าก็เหมือนแต่งหน้าไม่เสร็จ
ตอนแรกเลยก็ต้องดัดขนตาก่อน ต้องดัด 3 stepนะฮะ ดัดที่โคน, ดัดตรงกลางขนตาแล้วก็ดัดปลาย
ดึงๆนิดๆ เพื่อให้ขนตางอนๆหน่อยก็ได้ แต่อย่าดึงมากนะ เด๋วจะหลุดมาหมด
เวลาปัดเนี่ย ก่อนเอามาสคาร่าออกจากแท่งก็ปัดๆที่ขอบนิดๆ เพื่อปัดมาสคาร่าที่เกินๆออกไป


ขั้นแรกก็ปัดลงเฉยๆ



ขั้นสองก็ตวัดขึ้นให้เด้ง




ขั้นสุดท้าย
ก็ปัดซ้ายขวา เพื่อให้แยกช่อสวยงาม เป็นอันเสร็จพิธี




*13. มาที่ปากกันบ้าง หลังจากเราทาลิปมันเพื่อให้ความชุ่มชื่นแล้วตั้งแต่แรกๆ เราก็จะมาลงลิปมันอีกรอบหนึ่ง แล้วถ้าอยากจะปกปิดจุดบกพร่องของคนที่ปากใหญ่ หรือปากเล็กไป ก็ให้เขียนขอบปาก เขียนจากตรงกลางปาก

*14. แต่ถ้าไม่อยากให้ดูจริงจังมากไปนัก...ก็ให้ลงสีของลิปเลย จะเอาแบบด้านหรือแบบชุ่มชื้นก็ได้ จริงๆไม่ควรเลือกสีลิปเพียงสีเดียว น่าจะลองซื้อลิปแบบpaletteเอาไว้ผสมสีสวยๆเอาไว้ใช้เองดีกว่านะ

15. ลงลิปกลอส เพิ่มความเนียนใสของวัย บางคนอาจลงลิปกลอสแบบมีสีทีเดียวเลย แต่บางคนก็ใช้ลิปกลอสไม่มีสีเคลือบปากเฉยๆ

16. ยัง..ยังไม่หมดนะ เราขาดแก้มไปได้ไง สีของบลัชออนในการปัดแก้มจะมีอยู่ 2 โทนใหญ่ๆ คือ โทนส้มและชมพู ตอนแรกพวกเจ๊ๆมือโปรเค้าบอกว่า คนดำๆ(อย่างเรา)เนี่ย เหมาะกับโทนสีส้ม...เดี๊ยนก็เชื่อนะ แต่ตอนหลังกล้าๆหน่อย ลองใช้โทนสีชมพูบ้าง...เอ๊ะ มันก็เข้านิ แต่ต้องเลือกชมพูแบบที่เข้มๆหน่อย จะได้เหมาะกับสีผิว เวลาปัด อย่างที่บอกเมื่อบลอคที่แล้วว่า ควรใช้แปรงปัดอันใหญ่ๆหน่อย เวลาปัดจะได้ไม่เป็นดวงๆ แปรงที่แถมมาจากตลับบลัชออนน่ะ เอาไว้ใช้ยามฉุกเฉินเท่านั้น คนหน้าใหญ่ มีโหนกแก้มให้ปัดจากข้างๆ เฉียงลงมาที่แก้ม ไม่ควรปัดมาจนเลยกึ่งกลางของตาดำนะจ๊ะ




คนหน้าเล็ก ไม่ค่อยมีแก้ม ให้ปัดขนานกับพื้นหรือปัดเป็นครึ่งวงกลมจากแก้มไปที่ข้างๆ มีแบบเฉียง 3 เหลี่ยมด้วยนะคะ


ปัดทีละน้อยๆ ค่อยๆเพิ่มความแรงนะคะ ดีกว่าปัดแรงๆแล้วมาแก้ทีหลัง
ถ้าคนไหนปัดมากไป...ก็ให้ใช้การแก้ไขโดยเอาแป้งฝุ่นลงทับนะจ๊ะ อย่าแก้บ่อยนักล่ะ เด๋วจะเป็นลิง 555+
+++ การปัดแก้มแบบครึ่งวงกลม จะเป็นแบบวัยรุ่นค่ะ เวลาปัดก็ให้ยิ้มไปด้วยนะ จะได้รู้ว่าควรปัดส่วนไหน+++


17. ถ้าคนไหนกว่าจะแต่งเสร็จหน้าก็มันแล้ว ก็เอาแป้งฝุ่นมาตบทับอีกหน่อย ก็เป็นอันเสร็จขั้นตอนการแต่งหน้าแล้วจ้ะ

มาพอกหน้าด้วยน้ำผึ้งกันนะ

เขียนโดย aimmy ที่ 19:40 1 ความคิดเห็น
เพิ่งไปซื้อน้ำผึ้งมาลองพอกหน้า ความจริงก็พอทราบว่ามีหลายๆ คนเอาน้ำผึ้งมาพอกหน้ากัน อยากลองทำบ้าง แต่ไม่รู้ว่าจะหาซื้อน้ำผึ้งที่ไหน พอไปเจอเข้าที่ร้านสะดวกซื้อ ที่มีเกือบทุกที่ (เพื่อนๆ หลายคนคงรู้นะ อิอิ) ก็เลยซื้อมาพอกหน้าบ้าง ความจริงก็ทดลองพอกด้วยครีมหลายๆ อย่างมาแล้ว แต่น้ำผึ้งเนี่ย….เป็นผลิตผลจากธรรมชาติ เมื่อนำมาพอกหรือมาร์กหน้าเราจะได้ไม่มีส่วนปนเปื้อนของสารเคมี ไม่ทำให้หน้าบาง และอีกอย่างใช้คือใช้พอกหน้าบ่อยแค่ไหนก็ได้

มาทราบสรรพคุณของน้ำผึ้งกันดีกว่านะ
1. ต้านจุลชีพ (ฆ่าเชื้อโรค) เนื่องจากความเข้มข้นของน้ำผึ้ง จะมีแรงดันออสโมซิส (Osmotic Pressure) ดูดน้ำจากเซลล์เชื้อโรค ทำให้เชื้อโรคฝ่อตาย นอกจากนี้สภาพความเป็นกรด และสารบางชนิด สามารถฆ่าเชื้อโรคต่างๆ ได้

2. แก้ท้องเดิน จากฤทธิ์ต้านจุลชีพ ประกอบกับสารน้ำตาลซึ่งสามารถใช้แทนน้ำตาล (เป็นส่วนประกอบสำคัญของสารละลายน้ำตาล เกลือแร่ หรือโออาร์เอส ในการทดแทนสารน้ำในผู้ป่วยที่มีอาการท้องเดิน ) นอกจากนี้น้ำผึ้งยังช่วยเร่งให้ลำไส้ที่อักเสบมีการฟื้นตัวเร็วขึ้น

3. แก้ช่องคลอดอักเสบจากเชื้อรา (เชื้อแคนดิดา) ได้ใกล้เคียงกับยาฆ่าเชื้อราแผนปัจจุบัน

4. แก้โรคกลาก และฮ่องกงฟุต จากฤทธิ์ฆ่าเชื้อรา

5. แก้ตาอักเสบจากการติดเชื้อ เช่น เยื่อตาขาวอักเสบ กระจกตาดำอักเสบ

6. รักษาบาดแผล จากฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรค และสรรพคุณในการลดอักเสบ เร่งการสร้างเนื้อเยื่อใหม่น้ำผึ้งจึงใช้สมานบาดแผลชนิดต่างๆ เช่น แผลสด แผบถลอก แผลผ่าตัด ฝี แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก แผลเบาหวาน แผลกดทับ (จากการนอนนาน ๆ ) แผลเรื้อรังต่างๆ เป็นต้น




วิธีพอกหน้าด้วยน้ำผึ้ง
ล้างหน้าให้สะอาด เช็ดให้แห้งแล้วใช้ปลายนิ้วแตะน้ำผึ้งลูบไล้บนใบหน้าและลำคอเบาๆสักครู่แล้วนวดหน้าด้วยปลายนิ้วอย่างแผ่วเบาสักประมาณ 5 นาทีจนน้ำผึ้งเหนียว นวดต่อไปไม่ได้แล้ว โดยการนวดหน้า ที่แก้มควนนวดเพียงเบา ใช้นิ้ว 3 นิ้ว คือนิ้วกลาง นิ้วนาง นิ้วก้อย บริเวณแก้มควรนวดขึ้นด้านบนเพื่อไม่ให้ผิวเหี่ยวย่น เพราะปกติผิวคนเราจะตกลงตามแรงโน้มถ่วงของโลก บริเวณคาง ก็ถูไปถูมา เช่นเดียวกับที่หน้าผาก แต่ขอเตือนให้นวดเบา ๆ นะจ๊ะ มิฉะนั้นหน้าคุณอาจจะเหี่ยวก่อนที่จะสวยก็ได้ แล้วปล่อยทิ้งไว้ นอนพักให้ศีรษะอยู่ต่ำกว่าระดับปลายเท้า เพื่อให้เลือดไหลมาหล่อเลี้ยงที่ใบหน้าและลำคอได้สะดวกยิ่งขึ้น พักสักครู่แล้วค่อยๆใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดน้ำผึ้งออก เพี่ยงแค่นี้ก็สามารถพอกหน้าด้วยตัวเองได้เพียงง่าย ๆ และไม่ยุ่งยาก ค่

เขียน Eye liner ให้สวย เด้ง กันเถอะ

เขียนโดย aimmy ที่ 19:29 0 ความคิดเห็น
  • แบบที่ 1 Basic Liner เส้นเล็กเรียว
ตวัดหางเล็กน้อย ถึงยาวเป้นงิ้ว จะใช้สำหรับวันใสๆ กรีดทับชาโดว์ได้ทุกสี Look จะออกมาธรรมชาติ ไม่เห็นชัดมากว่ากรีดไลเน่อร์ หางที่ตวัดจะกลืนไปกับขนตาเองจ้ะ
P-1 : ดูหางว่าตวัดสูงเท่ากันหรือเปล่า ความยาวเท่ากันหรือเปล่า
P-2 : ความหนาของเส้นไลเน่อร์ จากหัวตาถึงหางตาจะหนาพอๆกัน กรีดชิดไปกับขอบขนตา

  • แบบที่ 2 Basic Upgrad เขียนเส้นให้หนาขึ้นมาอีกนิด
ตวัดปลาย แบบนี้ก็ยังเป็นการกรีดไลเน่อร์ทั่วไปที่เราใช้ ในชีวิตประจำวัน มันจะทำให้ตาดูโตกว่าแบบแรก จะให้ดูหวานหรือเปรี้ยว กำหนดเองได้จากหางที่ตวัดนะจ๊ะ ถ้าหางลงมาหน่อย จะดูอ่อนหวานขึ้นอีกนิด กรีดทับชาโดว์วิ้งๆ ก็แจ่มจ้ะ
P-1 : เส้นไลเน่อร์จากหัวตาจะเท่ากันไปจนถึงหางก่อนตวัด ไม่ต้องลากหางยาวมาก เพราะเส้นหนาแล้ว เดี๋ยวจะเป็นงิ้วซะ
P-2 : ความหนาไลเน่อร์ประมาณครึ่งนึงของรอยพับเปลือกตา



  • แบบที่ 3 S&B ไลเน่อร์คมกริ๊บ + เบลนด์ขอบตาล่าง
ใช้แต่งเที่ยว เปรี้ยวๆ เฉี่ยวๆ เก๋ซะ แบบนี้เหมาะกับคนที่มีชั้นตาไม่หนามากเกินไปนะ ถ้าชั้นตาหนามากจะดูเป็นนกฮูกได้เด้อ
P-1 : ใช้ไลเน่อร์แบบ Liquid เขียนให้เต็มความหนาของชั้นตา หางกุดๆ แต่คมกริ๊บให้เข้ารูปกับเส้นขอบตา
P-2 : ใช้ไลเน่อร์ แบบครีมหรือเจล หรือชาโดว์สีดำเขียนไล้ไปตามขอบตาล่าง 2/3 แล้วใช้ คอตต้อนบัตหมุนๆๆเกลี่ยให้กลืนกัน
P-3 : ระวังเวลาเขียนขอบตาล่าง อย่าให้ชิดหัวตา
P-4 : หัวตาก็ใช้ไลเน่อร์ระบายให้เต็มเลยจ้ะ

  • แบบที่ 4 S&B Upgrade คล้ายๆกัน แต่การระบาย จะเป็น 3 เหลี่ยม
ระบายหัวตาเรียวไปเต็มชั้นเปลือกตาที่หาง จะทำให้ตาดูชี้ๆหน่อย เหมาะกับคนที่หางตาตกๆ อ่ะ

P-1 : หางกุดคมกริ๊บ
P-2 : ขอบตาล่างใช้ไลเน่อร์แบบดินสอเขียนก็พอ 2/3 เช่นเดิม
P-3 : เช็กความโค้งของไลเน่อร์ว่าจากหัวตาถึงหางตามันดูแล้วเบี้ยวๆหรือเปล่า ค่อยๆเขียนให้ดูเป็นเคิฟเดียวกัน
P-4 : หัวตาเรียวแหลม เป็นเส้นบางๆ




  • แบบที่ 5 ไชนิสออริจิเน่ เติมความคมแบบธรรมชาติๆ
เหมาะสำหรับคนที่ยังเขินๆ ไม่ชินกับไลเนอร์เข้มๆเห็นช้าดๆ
P-1 : เขียนไลเน่อร์ถึงหางตา แล้วใช้คอตต้อนบัตหมุนๆให้เบลนด์เลยออกมาเป็นเงาๆก็พอ
P-2 : เริ่มเขียนไลเน่อร์จากกลางเปลือกตานะเจ้าคะ
P-3 : ถ้าชอบข้างล่างก็เติมนิดๆ ไม่เกิน 0.5 ซม.จ้ะ

  • แบบที่ 6 Jeban’s หมวยชั่วคราว
ตาจะดูเฉี่ยวโคดๆ เขียนง่ายไม่ต้องเน้นความเนี้ยบมากนัก ประหยัดเวลาดี
P-1 : ระบายหางตามาให้เต็มตวัดปลายนิดนึงแล้วเบลนด์ให้ไม่คม ถ้าวันไหนอยากเขียนแบบเนี้ยบๆแล้วพลาดก็อะแด๊บมาเป็นแบบนี้ได้จ๊ะ เด้ง เนียนนนไม่แพนด้า ตาไม่ช้ำ
P-2 : ขอบตาล่างเขียนเข้ามา 1/3 แล้วไล้ให้เบลนด์แนบไปกับเส้นขอบตา
P-3 : เคิฟจากหัวตาไปหางตาควารจะถูกแบ่งประมาณกึ่งกลางเป็นรูปลูกแปะก๊วย
P-4 : เขียนหัวตาบางให้เฉียบบบบเนี้ยบกิ๊ง


  • แบบที่ 7 Semi-Smokey!
มาตามสัญญาที่เคยให้ไว้ ดุๆ เถื่อนๆ สไตล์ที่เคยแปะไว้ในทู้ทรงผมอันก่อนนะจ๊ะ ระบายไลเนอร์ให้เต็มเปลือกตา จะเป็นแบบ Liquid หรือเจล หรือครีมก็ได้จ้ะ แต่ดินสอนี่ไม่ไหว ถ้าระบายๆ ทับๆจะทำให้ตาช้ำ *แต่งแบบนี้ปาดไลเน่อร์เพียวๆ จะสวยกว่ามีชาโดว์อ่ะ มันดู ดิบๆ ดี กรั่กๆๆๆๆ
P-1 : หางตาเต็มชั้นรอยพับเบลนด์ออกให้ดูเรียวๆ ให้มาชนไลเน่อร์ตาล่างได้พอดีระวังอย่าให้เกินรอยพับ
P-2 : ระบายไม่เกินชั้นขอบตา ต้องรอให้แห้งสนิทก่อนค่อยลืมตานะไม่งั้นจะเห็นเป็นรอยไลเน่อร์ดำๆเวลาหลุบตา
P-3 : ระบายไลเนอร์ตาล่างลงมาแล้วค่อยๆเบลนด์ให้มีความเรียวจากหัวตาไ ปหนาทางหางตา *จากประสบการณ์ใช้ Caviar Set แจ่มโคดๆ ปาดปื้ดๆ 5 นาทีเสร็จ ดำสนิท สะจาย
P-4 : ไลเน่อร์ด้านล่าง เขียนให้ชิดขอบตาที่สุด พยายามไม่ให้เหลือพื้นที่ขาวๆของขอบตา


  • แบบที่ 8 นางแมวป่า.....
แบบนี้ยังไม่เคยลองแต่งของจริงแต่ Skecth ไว้แล้วดูมันแจ่มดี เดี๋ยวเสาร์นี้จะลองดู อิอิ ใครอยากเห็นเจอกันที่บริคบาร์เด้อ
P-1 : หางลูกแปะก๊วยกลมมนๆ ชนกันพอดีๆ เบลนด์เล็กน้อยพองาม
P-2 : ขอบตาล่างปาดแค่ 2/3 ก็พอ แล้วเบลนด์ให้เรียวๆ กลืนไปกับเคิฟตา ไม่ต้องชิดมากนัก ให้เห็นความหนาของขอบในนิดๆ เซะซี่ดี
P-3 : ระบายเลยความหนาของชั้นตามานิดนึง แค่เวลาหลุบตาลงแล้วคงต้องค่อยๆแต่งเพิ่มให้ดูแล้วไม่แหว่งอ่ะนะ
P-4 : ปาดหัวตาเต็มชั้นความหนาเลยจ้า




วันพุธที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

รองเท้าแฟชั่น มาแรงสุดๆ

เขียนโดย aimmy ที่ 22:32 3 ความคิดเห็น
แฟชั่นรองเท้าหลายแบบหลายสไตล์เลือกซื้อเลือกหาได้ตามต้องการเลยนะค่ะ จะได้เพิ่มความเป็นตัวเองให้โดดเด่นขึ้นมาอีกค่ะ...เรามาดูกันเลยนะว่ามีแบบไหนกันบ้าง


รองเท้าส้นเตารีด
ดีไซด์ลำลองอย่างรองเท้าส้นเตารีด ถึงจะสูงแต่ก็สวมใส่สบายไม่เมื่อยอีกด้วย แถมได้ลุคสาวหวานอีกต่างหาก ใส่แล้วดูขาเรียวขึ้นด้วย สาวๆที่อยากสุงแต่กลัวเมื่อยควรมีติดไว้สักคู่นะจ๊ะ


รองเท้าคัตชู
ดีไซด์น่ารักและเรียบร้อย เหมาะกับสาวหวาน ตอนนี้รองเท้าส้นสูงยังมีดีไซด์สวยเก๋ให้เลือกอีกมากมาย แต่ถ้าเลือกดีไซด์หรูหราก็ได้ลุคคุณหนูไปเลย



รองเท้าส้นเตี้ย ดีไซด์สาวหวาน
เหมาะกับสาวสดใสวัยรุ่น สวมใส่สบาย เดินถึงไหนถึงกัน นอกจากจะใส่สบายแล้ว ดีไซด์ยังสวยงาม แต่งด้วยริบบิ้น ดอกไม้หรือลูกไม้ แต่งด้วยพลอยก็เก๋ไก๋


กลาดิเอเตอร์
สาวเปรี้ยวห้ามพลาด ด้วยดีไซด์โดนใจสาวเปรี้ยวเท่ห์ แต่งด้วยหมุด ลูกปัด หรือจะเปรี้ยวจี๊ดกับลายงูก็เท่ห์ไม่เบา ถือว่าเป็นรองเท้าสำหรับสาวแร๊งๆ ทีเดียว

แฟชั่นเข็มขัด เก๋ๆหลายสไตล์

เขียนโดย aimmy ที่ 21:57 0 ความคิดเห็น
เพิ่มการแต่งตัวให้ดูเริ่ดด้วยการใส่เข็มขัดเส้นเล็กๆ
















 

ความสวยและแฟชั่นที่ไม่ทำให้คุณตกเทรนด์ Copyright © 2009 Paper Girl is Designed by Ipietoon Sponsored by Online Business Journal